วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วันที่ 4 สำหรับการใช้ Ratin A

หน้าเราเริ่มลอกเป็นขุย ๆ ค่ะ แต่ไม่แสบนะ มีอาการคันเล็กน้อย หน้าแห้งมากค่ะ ตอนนี้คืออาบน้ำล้างหน้าแล้ว เตรียมตัวปิดไฟทา Ratin A สำหรับคืนที่ 5

กลางวันเราบำรุงมากเป็นพิเศษค่ะ ถ้าวันไหนว่างจะมีนวดหน้าด้วยน้ำผึ้งบ้าง






 หน้าตรงให้ดูตรงคางจะลอกเป็นพิเศษ ซึ่งเราก็แอบงงตรงที่ว่า ตอนที่เราทาเราจะเน้นแก้มข้างซ้าย เพราะรอยดำและสิวเราค่อนข้างเยอะ
นี่เป็นแก้มข้างซ้ายของเราค่ะ เห็นมะว่าจะมีรอยเยอะมาก คือกลุ้มใจมาก ๆ เลยค่ะ (รอยนี้ได้มาจากการแพ้เครื่องสำอาง) แล้วยังมีสิวอุดตันด้วย สู้ ๆ ค่ะ เพื่อความเนียนของหน้า ตอนนี้ใช้ความอดทนล้วน ๆ พยายามสังเกตการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ คือถ้าเห็นท่าไม่ดีอย่างที่หลาย ๆ คนเป็นก็คงต้องหยุดเหมือนกัน แต่ในใจกะไว้ว่าจะลองดูสัก 3 - 4 อาทิตย์ค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Review 1 : ใช้ Ratin A 0.5% คืนที่ 2

เป็นครั้งแรกที่เราจะรีวิวแบบวันต่อวันเลย เพื่อให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงค่ะ เราอ่าน comment และที่เพื่อน ๆ หลายคนแชร์เกี่ยวกับ Ratin A บางคนใช้แล้วโอเค บางคนใช้แล้วก็จำเป็นต้องหยุดใช้ค่ะ คราวนี้เราเลยลองดูบ้าง หลังจากลองปรึกษาเภสัชว่าควรใช้ยังไงค่ะ คุณหมอให้เราใช้ 0.05% ค่ะ

หลอดหน้าตาแบบนี้ค่ะ (เราทิ้งกล่องไปซะแล้วว) ภายในจะมีรายละเอียดให้อ่านชัดเจน ควรอ่านให้ละเอียดนะคะ การใช้ Ratin A มีข้อจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาจะไวต่อแสงมากค่ะ จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดด ตอนกลางวันก็ควรพอกครีมกันแดดด้วยล่ะ ถึงแม้จะไม่โดนแดด แต่แสงไฟจากจอคอมพ์ก็ทำให้หน้าหมองได้เหมือนกันนะ กันไว้ก่อนที่หน้าจะคล้ำค่ะ ที่สำคัญควรทาเวลากลางคืนแล้วปิดไฟนอน ><
และควรทาหลังจากล้างหน้าและทิ้งไว้ให้หน้าแห้งสนิทประมาณ 30 นาทีค่ะ


หลังจากนั้นบีบแค่เมล็ดถั่วเขียว คือน้อย ๆ ค่ะ ทาบาง ๆ

 เราลองทาเมื่อคืนเป็นคืนแรก ผลของตอนเช้าคือรอยแผลเป็นของสิวแห้งและลอกนิดหน่อยค่ะ ก็ยังไม่เห็นอะไรชัดมาก แต่ตอนเช้ารู้สึกเลยว่าหน้าหยาบขึ้นเล็กน้อย อ่อ ก่อนหน้านี้เราจะมีพอกมะขามบ้าง และก็นวดน้ำผึ้งเป็นประจำค่ะ หน้าเราเลยจะชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

ต่อกันค่ะ ภาพที่เห็นจะเป็นหน้าสดของเรา เอิ่ม.... สดจริง ๆ นะ คือไม่มีครีมใด ๆ บนผิวหน้าเลยค่ะ รอให้แห้งสนิทแล้วจะทาและปิดไฟนอนแล้วค่ะ ให้ดูหน้าก่อน ><

เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย เราจะทา Benzac 2.5% ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีก่อนอาบน้ำล้างหน้าค่ะ
ภาพนี้มองจากมุมด้านล่าง โอ้ คือจากเดิมที่เราไม่เคยเป็นสิวเลยก็เพิ่งจะมาขึ้นตอนอายุเข้าเลข 3 ค่ะ การดูแลเลยค่อนข้างลำบาก

ผลเป็นยังไงบ้างเราจะคอยอัพเดตนะ บอกก่อนว่าจะเป็นการรีวิวแบบบ้าน ๆ เป็นความรู้ที่เราอ่านตามกระทู้มาพิจารณาแล้วทำตามค่ะ ซึ่งแน่นอนอาจมีถูกบ้างผิดบ้าง ใครมีคำแนะนำอะไรก็แนะนำเราได้นะ จะยินดีมาก ๆ เลยล่ะ

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เกาะกระแส STAND BY ME

        
         เย้! มีเวลาอัพบล๊อคเพิ่มเติมสักที คราวนี้เราขอข้ามอะไรไปบางส่วน แต่สัญญาจะกลับมาทยอยเล่าให้ฟังกันนะ               แหม.. กลับมาคราวนี้ขออินเทรนด์กับเขาหน่อยแล้วกัน กับกระแส                       STAND BY ME 
         นั่นก็คือ โดราเอม่อน ที่น่าร๊ากกกกของโนบิตะ และพวกเรานั่นเอง ฉะนั้นสาวกอย่างเราไปเยือนประเทศญี่ปุ่นทั้งที บอกเลยว่า พลาดไม่ได้ค่ะ งานนี้ต้องมีอยู่ใน Agenda ของเรา  
        
           "Fujiko F fujio Museum"  ครั้งที่แล้วเราเล่าเรื่องการหาซื้อตั๋วไปแล้ว        งั้นคราวนี้เราไปลุยกันเล้ยยยย เราเริ่มจาก shinjuku ไปสถานี Noborito โดยใช้รถไฟสาย Odakyo Odawara    ค่าโดยสารก็ประมาณ 240 เยน หลังจากเดินทางลงจากสถานีเดินมาแค่ 100 เมตร ก็จะพบรถบัสที่เป็นลายการ์ตูนของอาจารย์ฟูจิโมโต ฮิโรชิ นี่ล่ะ ค่าโดยสาร 200 เยน  รถบัสจะพาเราไปพิพิทธภัณฑ์เลยนะ
ภายในก็ตกแต่งเป็นลายตามรถเลย รถจะมีหลายลาย หลายเรื่องนะ  และคันของเราได้นั่งคิวทาโร่ค่ะ ภายในก็จะเป็นแบบในภาพเลย ซึ่งแน่นอน   โดราเอม่อนก็มี ระหว่างทางก็ได้ชมเมือง ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้ต้นแบบมาจากเมืองนี้แหล่ะค่ะ เราพยายามมองหาบ้านของโนบิตะนะ แต่หาไม่เจอ จะเห็นก็สะพานบ้าง และสนามเด็กเล่นค่ะ ระหว่างบนรถคนขับใจดีเขาก็จะเป็นไกด์ไปด้วยในตัวค่ะ แต่บอกก่อนว่า พูดภาษาญี่ปุ่น แห่ะ ๆ เราเลยฟังไม่รู้เรื่อง   และเมืองนี้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ดูอบอุ่นมากทีเดียวค่ะ และเราก็มัวแต่ตื่นเต้นกับ 2 ข้างทาง และผู้คนที่ปั่นจักรยานและมีแต่รอยยิ้ม แถมเรายังมัวแต่มองหาบ้านของโนบิตะอีก เลยไม่ได้ถ่ายภาพมาอวดกันเลย
ระหว่างทางก็จะเจอบ้านเมืองแบบนี้แหล่ะ เหมือนในการ์ตูนเป๊ะเลย ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเราก็เดินทางมาถึงพิพิทธภัณฑ์แล้วค่ะ และมันอึ้งมาก ภายนอกเหมือนไม่มีอะไรเลย จะว่าไปแล้ว เราจินตนาการไว้คิดว่าจะเหมือนหลุดเข้าไปในการ์ตูนซะอีก แต่.... ที่นี่ กลับทำให้เราเข้าใจและรู้จักโดราเอม่อนในแบบความเป็นจริงมาก มาก ค่ะ

ที่นี่ไม่ใช่การ์ตูน แต่เป็นเรื่องจริง! 

                   อย่าลืมต่อแถวกันนะคะ และสำหรับส่วนแรกบอกก่อนเลยว่าเขาห้ามถ่ายภาพเลยไม่มีภาพมาฝากอีกแล้ว แต่บอกเลยว่าส่วนสำคัญที่สุดของพิพิทธภัณฑ์นี้อยู่ที่นี่แหล่ะค่ะ เพราะเป็นประวัติทั้งหมดของอาจารย์ แรงบันดาลใจ โต๊ะทำงาน จำลองห้องทำงาน อุปกรณ์ที่ท่านใช้ รวมไปถึง lay out  + storyboard ที่เป็นของ original ทั้งหมด ส่วนนี้เราจะได้ walky talky อันเล็ก ๆ สำหรับไว้เลือกภาษาบรรยาย เลยพอจะเข้าใจได้นิดหน่อย บอกเลยว่า ขนลุกทุกครั้งที่ได้เดินเข้าไปชมในแต่ละส่วน ต่อจากส่วนนี้ไป เราถ่ายภาพได้อิสระแล้วค่ะ 
     



       พามาห้องโนบิตะกันก่อนเลย โย่วว! โนบิตะตื่นได้ล้าววววววว มีแขกมาเยี่ยมจ้า ส่วนนี้ก็จะมีเครื่องเล่นเล็ก ๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นเครื่องถ่ายสติ๊กเกอร์ ตู้หยอดเหรียญลุ้นของที่ระลึก ห้องชมการ์ตูน ลักษณะก็คล้าย ๆ กับโซนเครื่องเล่นบ้านเรานี่แหล่ะ เพียงแต่ที่นี่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโดราเอม่อนทั้งหมด เล่นไปสักพัก เริ่มหิวแล้วสิ และ!!! ส่วนนี้ มันเป็นไฮไลท์ที่เราชอบไม่แพ้ห้องแรกเลย 5555 พูดแบบนี้รู้เลยว่าชอบกิน ><

จะไม่ให้ชอบได้ไง? ดูสิ โอ้ววว และรสชาติไม่แพ้หน้าตานะขอบอก มันอร่อยมาก ๆ สำหรับคนชอบชีส 

สำหรับเมนูต่อไปจะได้ไม่ลืมเรื่องราวทั้งหมดที่ได้มา อิ อิ ฮันนี่โทสขนมปังจดจำ! หอมอร่อยและไม่หวานมาก จะบอกว่าทุกเมนูที่สั่ง บ้านเราก็มีน่ะแหล่ะ แต่ทว่าที่นี่มันฟินสุด ๆ ได้อรรถรสเว่อร์มากกกกกก เราตื่นเต้นทุกเมนูเลย ขนาดเครื่องดื่มที่แม้จะเป็นโกโก้ธรรมดา แต่พิเศษตรงที่ เราจะลุ้นเองว่าจะได้ตัวการ์ตูนอะไร และสิ่งที่เราได้ แท่น แท่น แท๊นนนนน !! พระเอกของเราเอง กริ ๆ จิบโชว์สะเลย ยยยยยยย

           เห็นมะล้าาา ไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่ตื่นเต้นนะ แม้แต่คนญี่ปุ่นเอง เขาก็ตื่นตากับอาหารที่ได้เหมือนกัน คริ ๆ  (หาแนวร่วม)

          เราเป็นประเภทขี้สงสัย งานนี้ก็ถามพนักงานไปหมดว่าคืออะไร แต่ละอันคืออะไร ทานยังไง 5555 น่ารักสุด ๆ พนักงานที่นี่ก็น่ารักมากกกก (ทั้งหน้าตาและนิสัย) ว่ออออออออ เขาเป็นกันเองจนคิดว่ากลับไปคราวหน้า ชั้นจะไปหาเธออีกนะ ^_^


    พอกินเสร็จ อิ่มหนำสำราญกันไป เอ้าเก็บตังค์จ้าพี่น้อง งานนี้บอกเลยว่า คุ้มมากกกกกกกกก  อ่ะ ราคาส่องกันไป อิ่มละ เดินต่อ.....


      ใกล้ ๆ กันก็เจอปาร์แมนนอนชมท้องฟ้า และพ่อพระเอก และ ท่อน้ำสนามเด็กเล่น เอ้า พลาดไม่ได้ ชม  ๆ  ๆ ๆ ๆ ๆ
ขอพื้นที่สวย ๆ ให้ตัวเองนิดนุงน๊าา
ดีจ้า! ไจแอ้นท์ ต้องหมุน ๆ ช่วยไจแอ้นท์จากท่อนะ
จริง ๆ เราจะบอกเลยว่า สำหรับพิพิทธภัณฑ์นี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายนะ แต่มีเรื่องราว ความน่ารักในแบบโดราเอม่อนสำหรับคนที่ชื่นชอบที่ทำให้เราได้สัมผัสความสามารถ และยากลำบากกว่าจะเป็นโดราเอม่อนแต่ละตอนให้เราได้อ่านพร้อมเสียงหัวเราะ ที่ท่านอาจารย์ได้นำเสนอในแบบจินตนาการที่ท่านต้องลงไปสัมผัสเองเชียวนะ มาเจอแบบนี้ทำให้รักเจ้าแมวฟ้าตัวอ้วนนี้ขึ้นไปอีกหลายเท่าเล้ยยยย

สำหรับภาพแต่ละมุมเราคงลงให้ไม่ครบแหล่ะ เอาเป็นว่าใครที่มีโอกาสได้ไปเยือนประเทศญี่ปุ่น อย่าลืมไปที่นี่แล้วกันจ้า!!! ตอนหน้าเราจะไปที่ไหน อย่าพลาดติดตามกันนะ 

 



ไปกันเถอะ!

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

ตะลุยดินแดนมหัศจรรย์

        หลังจากที่แพลนไปฟูจิซังของเราพลาดไป เสมือนโชคชะตาฟ้าลิขิตให้เราไปย่านที่เหมาะสมกับหน้าตาและฐานะอย่างเรา ต้องพลัดเข้าไปยังดินแดนดูดเงิน (ขอเรียกแบบนี้ค่ะ) ดินแดนที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยสินค้าทั้ง local brand และ brand name กรี๊ดด หลายรอบ เพราะแม้แต่ ABC  (ร้านรองเท้าที่ถูกที่สุด) อิชั้นยังช้อปแล้วช้อปอีก ขากลับลองนับกันดู เพื่อนสาวได้มา 5 คู่ และอิฉัน 3 คู่ (555 ไม่ได้บ้ารองเท้านะ แต่เห็นแล้วอดไม่ได้จิ จิ) นั่นคือ ฮาราจูกู  ชินจูกู และ ชิบูย่าค่ะ สารภาพตามตรง ปกติชอบช้อปและมีสติอยู่เยอะ ครุคริ แต่มาที่นี่เท่านั้นแหล่ะค่ะ ทุกอย่างมลายพลัน เห็นภาพคนรู้จัก และครอบครัว เหมาะสมกับสิ่งไหน ดิฉันชั่งใจตามราคาและสอยมาในทันควัน กร๊ากกกก (แอบกระซิบของตัวเองคงมีแค่รองเท้า 2 คู่ กระโปรงและเสื้อ 1 ตัว แต่ที่เหลือ เอิ่ม..คุณเพื่อน คุณแฟน คุณน้องและคุณแม่คร้า!)

         เราเดินหลงกันไปเรื่อย ๆ ตามความเคยชินของเรา รู้แต่เพียงว่าอยู่บนนถนนสายไหนแค่ไหน แต่อย่าถามพิกัด ไม่รู้ค่ะ ระหว่างทางที่เราเดินชมบ้านเมือง ร้านค้า และชายหนุ่ม  >< เราก็สะดุดตากับสิ่งนี้ค่ะ ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เราอยากเจอ 1 ใน 10 ของการมาเยือนญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ จากเดิมที่เคยใช้ชีวิตในอเมริกามา (ไม่นานนัก) เราคุ้นเคยกับ homeless พอสมควร และที่ญี่ปุ่นนี่เอง เขาจะประหลาดกว่านิดหน่อย ตรงที่ชื่อเรียกนี่แหล่ะค่ะ "มนุษย์กล่อง" วันนี้เราได้พบกับเขาแล้วล่ะ จะบอกว่าไม่ได้มีเยอะ เหมือนที่เราจินตนาการ ในอากาศหนาว ชื้นแฉะ มีเพียงกล่อง 2 ใบช่วยคลายได้ดีทีเดียว พร้อมทั้งมีคนใจดีเอาอาหารมาวางอย่างที่เห็นค่ะ เราดีใจที่ได้เจอ เลยแอบถ่ายรูปมา 1 ใบ >< แล้วก็หลงต่อ
             เดินมาเรื่อย ๆ ปะทะกับเจ้าตู้หยอดเหรียญ ริกกะคูมะ คร้า แล้วใจดวงน้อย ๆ ของอิชั้นจะอดใจไหวได้อย่างไร 5555 สติมาอยู่อีกทีตอนที่ควักเงินไป 500 เยน แต่ไม่ได้สักตัว T_T ในใจก็คิดว่ามันอาจเป็นเพราะตุ๊กตาตัวเล็กไปอาจจะมีความยาก งั้นเดินเข้าไปข้างในกันเถอะ เราจะเจอตู้หยอดตัวใหญ่ ที่หยอดครั้งละ 300 เยน เอิ่ม สติค่ะ สติ ดิชั้นคำนวนดูถ้ายอดอีกแล้วไม่ได้อาจสูญเงินไปกว่า 1000 เยน เงินไทยก็ 3 ร้อยกว่าบาท ซื้อดีกว่าไม๊? 555 ความงกพรุ่งปรี๊ดดดด! จูงมือเพื่อนที่กำลังจะหย่อนเงินออกจากร้านทันที ออกเดินเท้ากันต่อไป และเราก็เจอกับ ABC อีกแล้วคร้า 555 แอบถ่ายมา ดูราคาสิคะ New balance หมื่นก่าเยน บางรุ่น 8-9 พันเยน ราคาก็แล้วแต่รุ่น และยี่ห้อค่ะ แต่ขอบอกว่าถูกนะ ปกติเราจะฝากเพื่อนซื้อจากเมกา ซึ่งราคาก็ไม่ทิ้งห่างจากที่นี่ ส่วนของไทยไม่ต้องพูดถึงค่ะ บางรุ่นถูกกว่าเกือบ 1 พันบาทเลยอ่ะ




        เราเดินเลือกซื้อของที่นี่ทั้งวันเลยค่ะ จะบอกว่าให้เวลาทั้งหมดที่มีก็เดินไม่ทั่วจริงๆ จนรู้สึกเดินไม่ไหวแล้วล่ะ พร้อมกับทั้งฝนและอากาศค่อนข้างเย็น ของก็หนักเลยตัดสินใจกลับที่พัก เอาไปเก็บก่อนค่ะ แล้วออกมาใหม่ช่วงที่เรามา หรือว่าเป็นทุกช่วงก็ไม่รู้นะ สัก 5 -6 โมงเย็นก็มืดแล้วอ่ะ


           เราออกมานั่งรถไฟฟ้าไปย่านอากิฮาบาระค่ะ เสียดายมาก ๆ ตอนที่เรามาทั้งฝนและพายุโหมกระหน่ำมาก บอกเลยว่าเปียกทั้งตัว แต่ไม่ย่อท้อ แอบหลบฝนแล้วถ่ายคลิปพายุมาฝากนิดหน่อยค่ะ ติดอยู่ตรงนี้เกือบครึ่งชั่วโมง แล้วเลยตัดสินใจกลับกันเถอะ ด้วยความหิวมันเรียกร้อง เราเลยทั้งวิ่งและเดินกลับไปยังสถานีที่เรามา จุดตรงนั้นก็จะมีห้างอยู่ค่ะ เลยคิดว่าจะทานข้าวที่นั่น และแล้วเราก็พบกับที่นี่ค่ะ เป็นร้านซูชิ แบบยืนทาน ร้านเล็ก ๆ อยู่ในมุมด้านในสุดของห้าง ทีแรกเราแต่ก็ต้องถอยออกมาตั้งหลักก่อนเพราะอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกเลย แถมเมนูซูชิที่เป็นภาษาอังกฤษก็ไม่รู้จักด้วยค่ะ 5555 ตั้งหลักเดินเล่น (เสียเงินซื้อของอีกแล้ว) ด้วยท้องมันเรียกร้อง เพื่อนก็อยากลองทานร้านนั้น เราเลยตัดสินใจเดินกลับไปใหม่ จากที่ตัวเปียกๆ รองเท้าชุ่มไปด้วย

น้ำฝน นี่แห้งสนิทเลยนะ 555 และเราก็ได้กิน ซึ่งรสชาตสมกับการกลับมาจริง ๆ ค่ะ ที่นี่ใช้ปลาสดจริง ๆ เลยทำให้มีรสหวานแบบธรรมชาติซูชิก็ก้อนใหญ่ค่ะ เป็นเนื้อห่อข้าว ทานเข้าไปล้นปากค่ะ (จะบอกว่าปากเล็ก><) แถมชาเขียวยังให้เราบริการตัวเองแบบมีหัวก๊อกน้ำร้อน ซึ่งผงชาเขียวเขาจะมีบริการให้เราตรงพวกกระปุกเครื่องปรุงเลยค่ะ

 และอาหารที่เราสั่งก็หน้าตาแบบนี้ค่ะ ราคาก็ไม่แพงนะ ทานเสร็จก็เอากระดาษที่เราเลือกไว้ไปคิดเงินหน้าร้านค่ะ อ้อ! ต้องชมเชฟที่นี่ด้วยค่ะ ทุกคนบริการเราดีมาก ๆ ทั้งแนะนำ ถามและช่วยเหลือเราในการสั่งทุกอย่าง บอกเลยว่าประทับใจ ถ้าไปอีก ร้านนี้จะเป็นร้านที่เราต้องไปใช้บริการอีกแน่นอนค่ะ













วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

เฮ้ย!! ฝนตก

      
          เรารีบตื่นกันแต่เช้า (ของเรา) ค่ะ เพื่อที่จะไปตามแพลนของเราวันนี้คือ ฟูจิซัง ><  แต่เมื่อออกมานอกบ้าน เราพบว่า T__T ฝนตกค่ะ อุ๊ต๊ะ!  เราหากลัวไม่ บุกฝ่าลุยฝนไปสถานีรถไฟกันเพื่อจะไปต่อรถบัสที่ชินจูกู

          เมื่อมาถึงสถานีชินจูกู เราก็พบว่า.... ฟ้าไม่เปิดค่ะ ซึ่งถ้าเรานั่งรถไฟอาจจะไปถึงแต่ไม่ได้เห็นฟูจิซังของเรา แพลนนี้เราต้องปิดประเด็นไปอย่างน่าเสียดายค่ะ แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเรามาถึงแหล่งดูดเงินแล้ว ก็เสียเงินกับมันซะเลย สุดท้ายเราได้พบว่า ตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 2 ทุ่มนั้น เวลาไม่พอสำหรับการเดินที่นี่จริง ๆ 


          หิวแล้วกองทัพต้องเดินด้วยท้องค่ะ เรามาสะดุดตากับตู้ราเมนหยอดเหรียญค่ะ ปัญหาของเราที่พบก็เหมือนเดิมคือ อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ยังดีนะพี่มีภาพให้เชยชมอยู่บ้าง แต่มันไม่จบเพียงแค่นั้นสิคะ ในเมื่อ หยอดไปก็ต้องมีเงินทอน เราก็กดมั่ว ๆ  กันค่ะ 5555 ได้คูปองมาซึ่งตรงกับจำนวนเงินทอน (ก็คิดว่าอ่อ นั่นคือคูปองเอาไปแลกเงิน) กร๊ากกก เพื่อนอีกคนก็กด ๆ แล้วก็เลือกเมนูที่ตัวเองต้องการ แต่เอ๊ะ!! ทำไมเขาได้เงินทอนหว่า 555 มาถึงตรงนี้ เอาวะ เป็นไงเป็นกันเดี๋ยวก็รู้ว่าหน้าตาเมนูเราจะเป็นยังไงค่ะ พอเข้ามาให้ร้าน จะมีบาร์เล็ก ๆ ที่กั้นระหว่าทางเข้ากับครัว เราก็เอาตั๋วที่ได้ยื่นให้เขาค่ะ และเหมือนเดิม เขาจะพูดภาษาญี่ปุ่นกับเราชุดใหญ่ พี่ไทยอย่างเรายิ้มอย่างเดียวค่ะ และเหมือนเขาจะรู้นะว่าตั๋วอีกใบของเราเนี่ยะ เรากดผิด เขาก็คืนเงินมาให้ อุ๊ต๊ะ!! ดิฉันประทับใจอีกแล้ว  เราก็เดินยิ้ม ๆ เวลาแค่แปบเดียวค่ะ ก็ได้อาหารหน้าตาเช่นนี้มา และมันคือ!!! 
เมนูของฉัน

      บะหมี่เย็น T__T (เราไม่กินบะหมี่เย็น) ทำไงละคะ เพื่อนสุดเยิฟรู้ถึงความเรื่องมากของเรา ณ จุดนี้มากค่ะ 555 เลยแลกเมนูกัน อธิบายเล็กน้อยไอ่แผ่นสีน้ำตาลนั้นคือ เต้าหู้หวานค่ะ (คือรสชาติหวานอย่างเดียวเลย) ในชามนี้ก็จะมีต้นหอมสไลด์ เส้น ไข่ ซึ่งทุกอย่างเย็นหมดเลย อ่อ มีวาซาบิก้อนนึงด้วย

และในร้านนี้ค่ะ ก็จะมีบาร์ตรงกลางคิดว่าน่าจะเป็นสำหรับผู้ที่รีบเร่ง (มั้ง) ยืนทานได้เลย อืม ก็สะดวกดีเหมือนกันนะคะ  หลังจากที่เราทานเสร็จแล้ว (ทานไม่ได้เลย เพราะรสชาติอาหารที่หวานมาก และเราดันเป็นประเภทปรุงรสอาหารไม่เป็นค่ะ เลยทานไม่หมด ขอโทษนะคะเชฟ T_T) เราก็ต้องยกชามไปเก็บด้วยนะ เขามีที่จัดไว้ ลักษณะคล้ายโรงอาหารบ้านเราค่ะ แต่เล็ก ๆ ตอนยกไป คนก็แอบมองเรานะ เอ๊ะ!! เหมือนยังไม่ได้ทานไรงี้ ก็เขิน ๆ ค่ะ คืออาจด้วยวัฒนธรรมเขาด้วยรึเป่า ไม่แน่ใจนะ 

    เอาล่ะ จากนี้ก็เป็นเวลาของเราแล้วค่ะ เราหาทางเดินขึ้นมาจาก subway และเราก็มาโผล่ที่ไหนไม่รู้ รู้แต่ละลานตาไปด้วยตึก และร้านค้าเพียบเลยค่ะ แต่ต้องมาสะดุดตากับเจ้าตู้นี้ 555 ริกะ เต็มตู้เบยยยยย กรีสสสสส เสียเงินกับตู้นี้ไป 300 เยนค่ะ แต่ไม่ได้สักตัว โกรธเลยเข้าไปหยอดในร้านอีก ซึ่งจะมีตู้แบบเป็นตัวใหญ่ด้วยนะ ครั้งละ 200 เยน บอกกับตัวเองว่า ถ้าไม่ได้ ฉันจะเสียเงินซื้อเองละกัน สุดท้ายไม่ได้ค่ะ เดินคอตกออกจากศูนย์เกมตรงนั้น และก็มาสะดุดตากับร้านนี้ค่ะ Gift Gate กรีสส!!!  คิตตี้ตัวใหญ่มากกกกกก ภายในร้านก็จะเป็นสินค้าซาริโอทั้งหมดค่ะ ดิฉันก็ละลานตา (อีกแล้ว) ร้านนี้เราเจอคนไทยด้วย พาเด็ก ๆ มาซื้อของใช้ >< เดินเข้ามาอีกสักหน่อย ก็พบกับเจ้าตู้หยอดเล่นอะไรสักอย่างค่ะ ด้วยความขี้สงสัยของเรา ก็หยอดเลยค่ะ แม่เจ้า !! หยอดแล้วฉันต้องหมุน ๆ ๆ  ๆ ๆ ประมาณ  1 นาทีค่ะ และก็ได้พบกับป๊อบคอร์นคิดตี้จ้า!!! น่ารักมากกกกก




วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

พักเหนื่อยแล้วมาต่อกันดีกว่า ฮาราจูกู part II


           กลับมาแล้วคร้า ..  ช่วงนี้งานค่อนข้างรัดตัวจริง ๆ เลยนะ แต่ยังไงจะพยายามเขียนแบบต่อเนื่องนะคะ 

ตู้หยอดเหรียญสำหรับจอดรถ
          
      ต่อจากคราวที่แล้ว เรามาถึงฮาราจูกูแล้วนะ ทีนี้ก็ถึงความบันเทิงยามค่ำคืนของเราแล้วล่ะ (คิดว่าแบบนั้น) เพราะการมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก ทุกอย่างมันน่าตื่นเต้นไปหมดเลยค่ะ ไม่ว่าจะถนนหนทาง ผู้คน แหล่งช้อปปิ้งต่าง ๆ แม้กระทั่งไอ่ตู้เขียว ๆ นี่แหล่ะ จากเดิมที่เราเคยเจอจากประเทศอื่น ๆ มาบ้างแล้ว แต่ก็อืม ไม่ประทับใจเท่าญี่ปุ่นเลย เพราะที่นี่มีเยอะมากและที่สำคัญมันดูน่าสนใจตรงที่ใหญ่และเหมือนตู้หยอดเครื่องดื่มค่ะ แหะ ๆ เลยชักมาสัก 1 ภาพ เราเดินจาก   ฮาราจูกูไปชินจูกู  กันค่ะ จะว่าไปแล้วคืนนี้เราไม่ค่อยได้ภาพมาสักเท่าไหร่ อาจเพราะเรายังเพลียจากการเดินทาง แต่สิ่งหนึ่งที่มีก็คือ ความปลาบปลื้มของผู้คนในประเทศนี้ที่มีระเบียบและไมตรี จริง ๆ ค่ะ  แม้กระทั่งเรื่องระเบียบในการเข้าแถวซื้อตั๋วโดยสาร อาหาร ขึ้นบันไดเลื่อน ก็ต้องยอมรับถ้าบ้านเราเพิ่มระเบียบพวกนี้ได้จะทำให้การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ง่ายขึ้นจริง ๆ 



          เดินไปหลาย ๆ มุมถนน เราก็จะพบตู้หยอดซื้อของต่าง ๆ ค่ะ ซึ่งราคาน้ำดื่มจะเริ่มต้นที่ 100 เยน (ตอนเราไปค่าเงินอยู่ที่ 0.319 ก็คูณราคาเยน จะได้ค่าเงินบาทไทย น้ำดื่มก็จะอยู่ที่ ราคาเริ่มต้น 31.9 บาทค่ะ) ซึ่งเราสังเกตว่าราคาอาจมีต่างกันเล็กน้อยนะคะ บางตู้ก็เริ่มที่ 120 เยน และแน่นอนค่ะ เรามาสะดุดตาที่ตู้นี้ เป็นตู้จำหน่ายบุหรี่ซึ่งเห็นแล้วมันอลังการมากค่ะ เลยแวะหยอดมาเป็นของฝากให้เพื่อน ราคาสำหรับชิ้นนี้อยู่ที่ 500 เยนค่ะ เราชอบเพราะมีไฟแช็คอันเล็ก ๆ แถมให้ด้วยแหล่ะ แถมเป็นยี่ห้อที่เราไม่คุ้นตาตอนอยู่ที่ไทยอีกต่างหาก (หวังว่าเพื่อนจะชอบนะเออ) เราเดินไปเรื่อย ๆ และพบว่า ท้องร้องเหลือประมาณค่ะ และแล้วการปล่อยไก่ครั้งที่ ... (เท่าไหร่แล้วนะ) ของเราก็เริ่มอีกครั้ง


อาหารมื้อแรกแบบจริงจังที่โตเกียว
              มาสะดุดตาที่ร้านนี้ค่ะ คือจะบอกว่าเข้าร้านนี้เพราะความหิวล้วน ๆ เลยไม่มีบทจะพิจารณาอะไรเลย พอเห็นเมนูก็เช่นเคยค่ะ อ่านภาษาอังกฤษที่มีอยู่น้อยนิด เห็นภาพแล้วจิ้มเลยค่ะ จุดเด่นของร้านนี้คือ เชฟหน้าตาดีมว๊ากกกก บริการดีมว๊ากกกกก แถมแนะนำวิธีการรับประทาน และอธิบายด้วยนะว่าอะไรเป็นอะไร ด้วยภาษาญี่ปุ่น 0_0 แต่ก็มีภาษาอังกฤษปนไป โอเคค่ะ เพราะหน้าตาเชฟหรอกนะ ฉันเลยยอม คริๆ พอเราได้อาหารมา หน้าตาเป็นอย่างที่เห็นในภาพค่ะ 
จะมีกุ้งเทมปูระ/ไก่เทมปูระ โป๊ะข้าว ไข่ออนเซน มิโซะซุป เราสั่งชาร้อนเพิ่ม 1 แก้ว ราคาอยู่ที่ 650 เยน (2ร้อยนิด ๆ ค่ะ ) ถือว่าราคาไม่แพงนะ แล้วเชื่อไหมว่า หิวโซกขนาดนี้ ก็กินไม่หมดอยู่ดีค่ะ 



            หลังจากอิ่มแล้ว ก็เริ่มง่วงแล้วค่ะ ขณะที่เราเดินผ่านร้าน LAWSON เราก็นึกขึ้นได้ค่ะ ว่าที่นี่จะมีตั๋วสำหรับพิพิทธภัณฑ์โดเรมอน (Fujiko F fujio Museum) ราคาอยู่ที่ 700 เยนต่อคนค่ะ  ซึ่งต้องให้พนักงานที่นี่ช่วยค่ะ เพราะตู้เป็นภาษาญี่ปุ่น แถมต้องเลือกเวลาเข้าและระบุรายละเอียดกว่าที่เราจะได้ตั๋วมาก็เกือบจะพลาดเหมือนกัน เพราะเราถามเขาเป็นภาษาอังกฤษ ว่า Doraemon museum ซึ่งแน่นอนค่ะ ไม่มีใครรู้จัก แย่แล้ว ทำไงดีน้อ!!!! เลยใช้เจ้า iPad เปิดแล้วให้เขาดูพนักงานที่นี่ก็ยังงง ๆ ค่ะ อาจเป็นเพราะเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ทำให้สื่อสารกันลำบาก เราถอดใจแล้วกำลังจะเดินออกไปค่ะ โอ๊!! ตาเหลือบไปเห็นเครื่องจำหน่ายตั๋ว กรีสสสสส.... ยิ้มแป้นแล้น แล้วรีบแจ้นไปหาพนักงานค่ะ ก็บอกว่า"ช่วยฉันหน่อย ฉันจะใช้เครื่องนี้ซื้อตั๋วไปที่นี่" แล้วก็ให้เจ้าน้องแพดให้เขาดูอีกรอบ เขาก็อ๋อขึ้นมาทันที เริ่ดค่ะ พนักงานมาช่วย แล้วก็ถามอะไร ๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น เอิ่ม.. แต่ก็เดา ๆ เอาค่ะ พยายามถามย้อนเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่เราเองก็ไม่ได้คล่องมาก ซึ่งก็จะมีเวลาที่เราจะเข้า (พิพิทธภัณฑ์นี้จะมีรอบค่ะ)เราเลือกเวลา 11.00 น. ก็ถามชื่อเรา ขอดูพาสปอรต (เพื่อกรอกชื่อ) วันไหน กี่คน (เราเลือกที่จะไปวันถัดไปเพราะวันพรุ่งนี้ตามแพลนของเรา เราจะไปฟูจิซังกันค่ะ) ก็มีให้กด ๆ ค่ะ ก็บอก ๆ  พนักงานไป วู้ปี้!!! กว่าจะได้ตั๋วมา เป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจจริง ๆ ค่ะ งานนี้ขอบคุณน้องพนักงานมาก ๆ ที่ถึงแม้จะสื่อสารกันลำบาก แต่เขาก็พยายามอย่างมากกกกกกกเลยค่ะ 
ศาลเจ้า

                    เวลาที่นั่นก็ประมาณ 5 ทุ่มกว่าแล้ว จะบอกว่าที่นี่ยามค่ำคืน เงียบ เงียบจริง ๆ ค่ะ รถไฟมีบริการถึงเที่ยงคืน ซึ่งแน่นอน เราหลงกันอีกแล้ว      แต่หลงไม่ไกลจากที่พักมาก ก็เลยถือซะว่าเดินชิมบรรยากาศกรุงโตเกียวยามค่ำคืนละกัน เลยได้ภาพนี้มาเป็นที่ระทึก ก่อนที่จะลุย "ฟูจิซัง"






            

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

มันเกิดขึ้นแล้ว จริง ๆ นะ

             หลังจากตอนที่แล้ว เราก็ได้ขึ้นรถไฟจริง ๆ กันสักทีค่ะ ปล่อยความโก๊ะ ไป 1 ดอก  ก็นั่งมองวิวทิวทัศน์ จากสนามบินนาริตะ มองผู้คนไปเรื่อย ๆ ถนนหนทาง บ้านเรือน สะดุดตากับฝรั่งบ้าง ลูกครึ่งบ้าง ซึ่งแน่นอนค่ะ หลาย ๆ คนก็มีมองเรานะ เพราะเรานั่งจับจ้องเส้นทาง สถานีที่เขาจอด และหน้าจอน้องไอโฟน ที่มี กู!!! เป็นเครื่องนำทางค่ะ เรามีเปลี่ยนสาย 1 สายนะ ก็ขอโทษจริง ๆ จำชื่อสถานีไม่ได้ และสุดท้ายเราก็มาถึงสถานีปลายทาง asakusabashi 
อย่างปลอดภัย ตอนนี้แหล่ะค่ะ
            เมื่อลงสถานีแล้วก็ต้องเปิดการบ้านสักหน่อย ก่อนหน้านี้เราจะมีคุยกับทางเจ้าหน้าที่ของที่พักเรื่องการเดินทาง และเขาก็ส่งแผนที่มาให้อธิบายว่าต้องต่อสถานีอะไร ออกทางออกไหน ประมาณนี้ค่ะ ก็เลยทราบว่า ออ..ต้องออกทาง exit 6 โอเครเลย ก็เดินไปจนสุดท้ายขึ้นมาเหยียบถนนกรุงโตเกียวจริง ๆ สักทีนาทีแรก ว๊าบบบบค่ะ หนาวมว๊ากกกกก หลังจากนี้แผนที่ไม่ช่วยอะไรอีกต่อไป สุดท้ายเห็นหนทางว่า กู..นี่แหล่ะค่ะ เวริคสุด ๆ ไปเลย

      และแล้วเราก็มาถึงที่พักค่ะ ขึ้นไปเช็คอิน และพบกว่า อีตาฝรั่งหนุ่มที่สบตากันบนรถไฟก่อนที่เราจะเปลี่ยนสถานีนั้น!!! พักที่นี่ แถมยังยิ้มแล้วหัวเราะ (อย่างเป็นมิตร) 

            "เราเจอกันรถไฟเมื่อกี้นี่ ใช่มะ? แล้วนี่คุณเพิ่งมาถึงเหรอ? ผมมาถึงนานแล้วนะ"
           >//<   '' นึกในใจ "อีตาบ้า ชั้นหลงไงยะ!!" 
           เราก็ยิ้ม ๆ แล้วก็บอกไปว่า 
       "อืมใช่ เราเจอกันบนรถ แล้วเราน่ะหลง เราเปลี่ยนสถานี เชื่อตามแผนที่นี่แหล่ะ แห่ะ ๆ (มีโทษแผนที่นะ)" 

          สุดท้ายเราก็เช็คอินค่ะ พนักงานพูดภาษาอังกฤษคล่องมาก อธิบายแต่ละส่วน แต่ละพารทของที่พัก ห้องน้ำ อาหารเช้า และที่นี่มีห้องครัว ที่สามารถทำอาหารทานเองได้นะ ในห้องนอนห้ามนำอาหารเข้าไปทาน รวมถึงน้ำเปล่าด้วย ถ้าหิวหรืออะไร เขาก็มีล๊อบบี้ (เล็ก ๆ) ไว้ต้อนรับ อุ่นหนาไปด้วย ฝรั่ง และญี่ปุ่น ล๊อบบี้ที่เล็กก็เลยดูยิ่งเล็กไปถนัดตาเลยค่ะ แต่น่ารักเหมือนในหนังเดี๊ยะ!! รู้สึกปลื้มที่นี่ตั้งแต่วินาทีแรกเลยล่ะ 
              จากนั้นพนักงานก็พาเราไปยังชั้นที่พักค่ะ เราเลือกพักแบบห้องรวมหญิงซึ่งจะอยู่ชั้น 3 อ่อ ขนาดของบ้านหลังนี้ มีประมาณ 5 ชั้น (ถ้าจำไม่ผิดนะ)  ชั้นแรกจะเป็นทางเข้า เปิดประตูเข้ามาจะเจอเคาน์เตอร์เล็ก ๆ มีที่เสียบร่ม ลิฟท์ และบันได (ไม่ได้ถ่ายรูป เสียดายจริง ๆ ) ส่วนงานต้อนรับ ล๊อบบี้ ห้องครัว จะอยู่ชั้น 4 ค่ะ (ใครนึกไม่ออก นึกถึงโดเรมอนก็ได้ค่ะ แต่แค่ไม่มีทางเดินยาว ๆ)
             มาต่อกันที่ชั้นของเราเลย เขาก็ให้กุญแจเรามา 1 ดอกสำหรับไขประตู พาเราไปที่เตียง (2 ชั้น) ซึ่งเรากับเพื่อนจะอยู่คนละชั้นกัน พร้อมมีป้ายชื่อของเราทั้ง 2 คนค่ะ ห้องเล็ก ๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะจุเตียงได้ถึง 5 เตียงแบบไม่แออัด ยังมีล๊อคเกอร์อีก 10 ตู้ สำหรับใส่รองเท้า หรือของมีค่าอีกด้วยนะเออ โว้! minimal ตัวจริง หลังจากนั้นเขาก็พาไปห้องน้ำค่ะ (อยู่หน้าห้องพักเรานี่แหล่ะ) ซึ่งจะเป็นห้องน้ำรวม ชายและหญิงอยู่ใกล้กันแทบจะใช้ส่วนเดียวกันเลยก็ว่างั้น แต่ไม่ค่ะ ลบภาพห้องน้ำรวมแบบไทยเราได้เลย มันสะอาด และดูมีระเบียบมากจริง ๆ ต้องบอกเล็กน้อย เราเป็นคนเรื่องมากเรื่องห้องน้ำในระดับค่อนข้างสูงเลยทีเดียว คือแล้วยิ่งถ้าเป็นห้องรวมแบบนี้ บอกตรง ๆ ตอนที่จองจินตนาการไม่ออกเลยค่ะ ว่าฉันจะกล้าอาบน้ำไหม? ขนาดใช้บริการร้านอาหารที่บ้านเรา ถ้าเป็นห้องน้ำรวมดิฉันสบัดบ๊อบค่ะ ยอมอั้นกลับไปทำภาระกิจที่บ้าน 5555
              แต่สำหรับที่นี่ เราต้องยอมและคาราวะในระเบียบของเขาจริง ๆ เขาจะแบ่งห้องอาบน้ำ และห้องน้ำ ส่วนของห้องน้ำจะมี 2 ห้อง และห้องอาบน้ำมีแบ่งโซนแห้ง โซนเปียกอีก 2 ห้อง ซึ่งแน่นอนค่ะ สำหรับท่านชายก็จำนวนเท่ากัน (จะบอกว่า ห้องน้ำที่บ้านอิฉันมีขนาดใหญ่เกือบเท่าห้องน้ำที่รวมทั้ง 8 ห้องเลย อืมมม..... เปลืองพื้นที่โดยใช่เหตุนะเนี่ยะ) เป็นอีกจุดสำคัญที่เราเริ่มเห็นและยอมรับการแบ่งปัน จัดสรรพื้นที่ได้อย่างฉลาดของคนที่นี่ค่ะ เอาล่ะชมห้องพักมาพอประมาณ เหนื่อยเหลือเกิน อยากหลับตาสักงีบ ขอไปอาบน้ำสักแปบนึงก่อนนะ คริ ๆ 

      หลังจากอาบน้ำเสร็จ กะว่าจะเอนปิดตาลงสักหน่อย จะเหลือเหรอคะ เมื่อแรงของเราพุ่งขึ้นสูงขนาดนั้น แค่มองตากับเพื่อน แล้วก็พยักหน้าคู่ค่ะ เราออกเดินทางกันเลย สถานีแรกของเราคือ ฮาราจูกุค่ะ ><


       คราวนี้เราเลือกใช้บริการ JR ค่ะ เมื่อเราเดินจากที่พัก ก็พบว่าอยู่ไม่ไกลสะดวกมากเลย แต่ประเด็นสำคัญคือ.... อะไรกันนี่!!! ฉันจะซื้อตั๋วไปไหน ซื้อยังไง เมื่อไปที่ตู้จะพบว่า มีแต่ราคาค่ะ คือเราต้องกดจำนวนคน และราคาตั๋ว สำหรับจะทราบได้อย่างไรว่าจะหลงสถานีไหนต้องจ่ายกี่บาท ก็ต้องดูแผนที่ซึ่งยอมรับค่ะ ว่ายากสำหรับคนดูแผนที่ไม่เป็นแบบเรา แถมยังเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย (อันที่จริงมีแผนที่ภาษาอังกฤษมาด้วยแต่งงมากค่ะ เพราะที่ญี่ปุ่น คุณจะพบว่า มีผู้ให้บริการรถไฟต่าง ๆ หลายเจ้ามาก คุณจะไปไหนก็ต้องดูดี ๆ ค่ะ ว่ามีเจ้าไหนให้บริการบ้างบางเจ้าอาจต้องต่อ บางเจ้านั่งตรงได้เลย บอกเลยค่ะ แค่ MRT หรือ BTS บ้านเราที่แค่เข้าไปนั่งเฉย ๆ อิฉันยังหลงจนชิน 5555 เอาล่ะ หมดเวลาตาแตก เรามาปล่อยความโก๊ะกันเลยค่ะ ให้รู้ซะมั้ง คนไทยไม่น้อยหน้าเรื่องนี้ กร๊ากก)

          พอคิดไปมาเราก็อืม หันไปเห็นเขามีเจ้าหน้าที่จำหน่ายตั๋วนี่นา เด๋วเราไปเข้าคิวซื้อกับเขาดีกว่าเนอะ ก็รอคิวไปสักพักค่ะ สุดท้าย เพื่อนที่น่ารักของเรา (ค่อนข้างเก่งเรื่องการดูแผนที่ โดยเฉพาะกับอากู) ก็หันมาบอกแบบให้ความหวังกับเราว่า "เจ๊!! ในนี้บอกให้หยอด 210 เยน" เราสบตาเพื่อนคำถามที่พูดออกไปคือ "แกคิดว่าฉันควรจะไว้ใจอากูใช่มะ?" พูดเสร็จไม่รอคำตอบค่ะ เดินแยกออกจากแถวแล้วไปที่ตู้กด หยดเงินลงไป พร้อมกดจำนวนคน เท่านั้นค่ะ ได้รับเงินทอน และตั๋วออกมาให้ 2 ใบ คริ ๆ

       หลังจากนั้นเราก็เข้าไปสู่สถานีที่...เอิ่ม เฮ้ย!! ทางมันทำไมเยอะจังอ่ะ?? แล้วยังไง ฉันเดินทางไหน แต่เดี๋ยวค่ะ !!! ก่อนออกเดินทางดิฉันสำรวจเรื่องมนุษย์ป้ามาพอสมควร ถ้าฉันหลง ฉันมึน ฉันโก๊ะ ฉันจะไม่ยืนกลางถนนเด็ดขาด กร๊ากกกก หราาา หยุดเดินมันหน้าป้ายเลยค่ะ แล้วคว้าแว่นมาใส่ ยืนงงเต๊กกับป้ายบอกทาง ที่ไม่มีบอกว่า ฉันจะไปฮาราจูกุ จะต้องไปทางเดินหมายเลขอะไร >//< คือเขาเหมือนจะบอกแค่ว่าสุดสายของขบวนที่จะไปถึงน่ะ อะไรบ้างก็จะมีผ่านอะไร นิดหน่อยค่ะ ซึ่งเราเองก็เพิ่งมาถึงวันแรกไง รีบถามเพื่อนเลย อากู๋ บอกว่าทางไหน? โอเค งานนี้ให้ใจอากู๋ไปเลยค่ะ สุดท้ายดิฉันก็ลากตัวเองมาถึง ฮาราจูกู จนได้นะเออ!!
เครปเย็นต้นตำรับ เขาว่าเจ้านี้เป็นเจ้าแรกเลยนะ
ร้านบัฟเฟต์ปูค่ะ