หลังจากตอนที่แล้ว เราก็ได้ขึ้นรถไฟจริง ๆ กันสักทีค่ะ ปล่อยความโก๊ะ ไป 1 ดอก ก็นั่งมองวิวทิวทัศน์ จากสนามบินนาริตะ มองผู้คนไปเรื่อย ๆ ถนนหนทาง บ้านเรือน สะดุดตากับฝรั่งบ้าง ลูกครึ่งบ้าง ซึ่งแน่นอนค่ะ หลาย ๆ คนก็มีมองเรานะ เพราะเรานั่งจับจ้องเส้นทาง สถานีที่เขาจอด และหน้าจอน้องไอโฟน ที่มี กู!!! เป็นเครื่องนำทางค่ะ เรามีเปลี่ยนสาย 1 สายนะ ก็ขอโทษจริง ๆ จำชื่อสถานีไม่ได้ และสุดท้ายเราก็มาถึงสถานีปลายทาง asakusabashi
อย่างปลอดภัย ตอนนี้แหล่ะค่ะ
เมื่อลงสถานีแล้วก็ต้องเปิดการบ้านสักหน่อย ก่อนหน้านี้เราจะมีคุยกับทางเจ้าหน้าที่ของที่พักเรื่องการเดินทาง และเขาก็ส่งแผนที่มาให้อธิบายว่าต้องต่อสถานีอะไร ออกทางออกไหน ประมาณนี้ค่ะ ก็เลยทราบว่า ออ..ต้องออกทาง exit 6 โอเครเลย ก็เดินไปจนสุดท้ายขึ้นมาเหยียบถนนกรุงโตเกียวจริง ๆ สักทีนาทีแรก ว๊าบบบบค่ะ หนาวมว๊ากกกกก หลังจากนี้แผนที่ไม่ช่วยอะไรอีกต่อไป สุดท้ายเห็นหนทางว่า กู..นี่แหล่ะค่ะ เวริคสุด ๆ ไปเลย
และแล้วเราก็มาถึงที่พักค่ะ ขึ้นไปเช็คอิน และพบกว่า อีตาฝรั่งหนุ่มที่สบตากันบนรถไฟก่อนที่เราจะเปลี่ยนสถานีนั้น!!! พักที่นี่ แถมยังยิ้มแล้วหัวเราะ (อย่างเป็นมิตร)
>//< '' นึกในใจ "อีตาบ้า ชั้นหลงไงยะ!!"
เราก็ยิ้ม ๆ แล้วก็บอกไปว่า
"อืมใช่ เราเจอกันบนรถ แล้วเราน่ะหลง เราเปลี่ยนสถานี เชื่อตามแผนที่นี่แหล่ะ แห่ะ ๆ (มีโทษแผนที่นะ)"
สุดท้ายเราก็เช็คอินค่ะ พนักงานพูดภาษาอังกฤษคล่องมาก อธิบายแต่ละส่วน แต่ละพารทของที่พัก ห้องน้ำ อาหารเช้า และที่นี่มีห้องครัว ที่สามารถทำอาหารทานเองได้นะ ในห้องนอนห้ามนำอาหารเข้าไปทาน รวมถึงน้ำเปล่าด้วย ถ้าหิวหรืออะไร เขาก็มีล๊อบบี้ (เล็ก ๆ) ไว้ต้อนรับ อุ่นหนาไปด้วย ฝรั่ง และญี่ปุ่น ล๊อบบี้ที่เล็กก็เลยดูยิ่งเล็กไปถนัดตาเลยค่ะ แต่น่ารักเหมือนในหนังเดี๊ยะ!! รู้สึกปลื้มที่นี่ตั้งแต่วินาทีแรกเลยล่ะ
จากนั้นพนักงานก็พาเราไปยังชั้นที่พักค่ะ เราเลือกพักแบบห้องรวมหญิงซึ่งจะอยู่ชั้น 3 อ่อ ขนาดของบ้านหลังนี้ มีประมาณ 5 ชั้น (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ชั้นแรกจะเป็นทางเข้า เปิดประตูเข้ามาจะเจอเคาน์เตอร์เล็ก ๆ มีที่เสียบร่ม ลิฟท์ และบันได (ไม่ได้ถ่ายรูป เสียดายจริง ๆ ) ส่วนงานต้อนรับ ล๊อบบี้ ห้องครัว จะอยู่ชั้น 4 ค่ะ (ใครนึกไม่ออก นึกถึงโดเรมอนก็ได้ค่ะ แต่แค่ไม่มีทางเดินยาว ๆ)
มาต่อกันที่ชั้นของเราเลย เขาก็ให้กุญแจเรามา 1 ดอกสำหรับไขประตู พาเราไปที่เตียง (2 ชั้น) ซึ่งเรากับเพื่อนจะอยู่คนละชั้นกัน พร้อมมีป้ายชื่อของเราทั้ง 2 คนค่ะ ห้องเล็ก ๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะจุเตียงได้ถึง 5 เตียงแบบไม่แออัด ยังมีล๊อคเกอร์อีก 10 ตู้ สำหรับใส่รองเท้า หรือของมีค่าอีกด้วยนะเออ โว้! minimal ตัวจริง หลังจากนั้นเขาก็พาไปห้องน้ำค่ะ (อยู่หน้าห้องพักเรานี่แหล่ะ) ซึ่งจะเป็นห้องน้ำรวม ชายและหญิงอยู่ใกล้กันแทบจะใช้ส่วนเดียวกันเลยก็ว่างั้น แต่ไม่ค่ะ ลบภาพห้องน้ำรวมแบบไทยเราได้เลย มันสะอาด และดูมีระเบียบมากจริง ๆ ต้องบอกเล็กน้อย เราเป็นคนเรื่องมากเรื่องห้องน้ำในระดับค่อนข้างสูงเลยทีเดียว คือแล้วยิ่งถ้าเป็นห้องรวมแบบนี้ บอกตรง ๆ ตอนที่จองจินตนาการไม่ออกเลยค่ะ ว่าฉันจะกล้าอาบน้ำไหม? ขนาดใช้บริการร้านอาหารที่บ้านเรา ถ้าเป็นห้องน้ำรวมดิฉันสบัดบ๊อบค่ะ ยอมอั้นกลับไปทำภาระกิจที่บ้าน 5555
แต่สำหรับที่นี่ เราต้องยอมและคาราวะในระเบียบของเขาจริง ๆ เขาจะแบ่งห้องอาบน้ำ และห้องน้ำ ส่วนของห้องน้ำจะมี 2 ห้อง และห้องอาบน้ำมีแบ่งโซนแห้ง โซนเปียกอีก 2 ห้อง ซึ่งแน่นอนค่ะ สำหรับท่านชายก็จำนวนเท่ากัน (จะบอกว่า ห้องน้ำที่บ้านอิฉันมีขนาดใหญ่เกือบเท่าห้องน้ำที่รวมทั้ง 8 ห้องเลย อืมมม..... เปลืองพื้นที่โดยใช่เหตุนะเนี่ยะ) เป็นอีกจุดสำคัญที่เราเริ่มเห็นและยอมรับการแบ่งปัน จัดสรรพื้นที่ได้อย่างฉลาดของคนที่นี่ค่ะ เอาล่ะชมห้องพักมาพอประมาณ เหนื่อยเหลือเกิน อยากหลับตาสักงีบ ขอไปอาบน้ำสักแปบนึงก่อนนะ คริ ๆ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ กะว่าจะเอนปิดตาลงสักหน่อย จะเหลือเหรอคะ เมื่อแรงของเราพุ่งขึ้นสูงขนาดนั้น แค่มองตากับเพื่อน แล้วก็พยักหน้าคู่ค่ะ เราออกเดินทางกันเลย สถานีแรกของเราคือ ฮาราจูกุค่ะ ><
คราวนี้เราเลือกใช้บริการ JR ค่ะ เมื่อเราเดินจากที่พัก ก็พบว่าอยู่ไม่ไกลสะดวกมากเลย แต่ประเด็นสำคัญคือ.... อะไรกันนี่!!! ฉันจะซื้อตั๋วไปไหน ซื้อยังไง เมื่อไปที่ตู้จะพบว่า มีแต่ราคาค่ะ คือเราต้องกดจำนวนคน และราคาตั๋ว สำหรับจะทราบได้อย่างไรว่าจะหลงสถานีไหนต้องจ่ายกี่บาท ก็ต้องดูแผนที่ซึ่งยอมรับค่ะ ว่ายากสำหรับคนดูแผนที่ไม่เป็นแบบเรา แถมยังเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย (อันที่จริงมีแผนที่ภาษาอังกฤษมาด้วยแต่งงมากค่ะ เพราะที่ญี่ปุ่น คุณจะพบว่า มีผู้ให้บริการรถไฟต่าง ๆ หลายเจ้ามาก คุณจะไปไหนก็ต้องดูดี ๆ ค่ะ ว่ามีเจ้าไหนให้บริการบ้างบางเจ้าอาจต้องต่อ บางเจ้านั่งตรงได้เลย บอกเลยค่ะ แค่ MRT หรือ BTS บ้านเราที่แค่เข้าไปนั่งเฉย ๆ อิฉันยังหลงจนชิน 5555 เอาล่ะ หมดเวลาตาแตก เรามาปล่อยความโก๊ะกันเลยค่ะ ให้รู้ซะมั้ง คนไทยไม่น้อยหน้าเรื่องนี้ กร๊ากก)
พอคิดไปมาเราก็อืม หันไปเห็นเขามีเจ้าหน้าที่จำหน่ายตั๋วนี่นา เด๋วเราไปเข้าคิวซื้อกับเขาดีกว่าเนอะ ก็รอคิวไปสักพักค่ะ สุดท้าย เพื่อนที่น่ารักของเรา (ค่อนข้างเก่งเรื่องการดูแผนที่ โดยเฉพาะกับอากู) ก็หันมาบอกแบบให้ความหวังกับเราว่า "เจ๊!! ในนี้บอกให้หยอด 210 เยน" เราสบตาเพื่อนคำถามที่พูดออกไปคือ "แกคิดว่าฉันควรจะไว้ใจอากูใช่มะ?" พูดเสร็จไม่รอคำตอบค่ะ เดินแยกออกจากแถวแล้วไปที่ตู้กด หยดเงินลงไป พร้อมกดจำนวนคน เท่านั้นค่ะ ได้รับเงินทอน และตั๋วออกมาให้ 2 ใบ คริ ๆ
หลังจากนั้นเราก็เข้าไปสู่สถานีที่...เอิ่ม เฮ้ย!! ทางมันทำไมเยอะจังอ่ะ?? แล้วยังไง ฉันเดินทางไหน แต่เดี๋ยวค่ะ !!! ก่อนออกเดินทางดิฉันสำรวจเรื่องมนุษย์ป้ามาพอสมควร ถ้าฉันหลง ฉันมึน ฉันโก๊ะ ฉันจะไม่ยืนกลางถนนเด็ดขาด กร๊ากกกก หราาา หยุดเดินมันหน้าป้ายเลยค่ะ แล้วคว้าแว่นมาใส่ ยืนงงเต๊กกับป้ายบอกทาง ที่ไม่มีบอกว่า ฉันจะไปฮาราจูกุ จะต้องไปทางเดินหมายเลขอะไร >//< คือเขาเหมือนจะบอกแค่ว่าสุดสายของขบวนที่จะไปถึงน่ะ อะไรบ้างก็จะมีผ่านอะไร นิดหน่อยค่ะ ซึ่งเราเองก็เพิ่งมาถึงวันแรกไง รีบถามเพื่อนเลย อากู๋ บอกว่าทางไหน? โอเค งานนี้ให้ใจอากู๋ไปเลยค่ะ สุดท้ายดิฉันก็ลากตัวเองมาถึง ฮาราจูกู จนได้นะเออ!!
เครปเย็นต้นตำรับ เขาว่าเจ้านี้เป็นเจ้าแรกเลยนะ |
ร้านบัฟเฟต์ปูค่ะ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น