หลังจากที่แพลนไปฟูจิซังของเราพลาดไป เสมือนโชคชะตาฟ้าลิขิตให้เราไปย่านที่เหมาะสมกับหน้าตาและฐานะอย่างเรา ต้องพลัดเข้าไปยังดินแดนดูดเงิน (ขอเรียกแบบนี้ค่ะ) ดินแดนที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยสินค้าทั้ง local brand และ brand name กรี๊ดด หลายรอบ เพราะแม้แต่ ABC (ร้านรองเท้าที่ถูกที่สุด) อิชั้นยังช้อปแล้วช้อปอีก ขากลับลองนับกันดู เพื่อนสาวได้มา 5 คู่ และอิฉัน 3 คู่ (555 ไม่ได้บ้ารองเท้านะ แต่เห็นแล้วอดไม่ได้จิ จิ) นั่นคือ ฮาราจูกู ชินจูกู และ ชิบูย่าค่ะ สารภาพตามตรง ปกติชอบช้อปและมีสติอยู่เยอะ ครุคริ แต่มาที่นี่เท่านั้นแหล่ะค่ะ ทุกอย่างมลายพลัน เห็นภาพคนรู้จัก และครอบครัว เหมาะสมกับสิ่งไหน ดิฉันชั่งใจตามราคาและสอยมาในทันควัน กร๊ากกกก (แอบกระซิบของตัวเองคงมีแค่รองเท้า 2 คู่ กระโปรงและเสื้อ 1 ตัว แต่ที่เหลือ เอิ่ม..คุณเพื่อน คุณแฟน คุณน้องและคุณแม่คร้า!)
เราเดินหลงกันไปเรื่อย ๆ ตามความเคยชินของเรา รู้แต่เพียงว่าอยู่บนนถนนสายไหนแค่ไหน แต่อย่าถามพิกัด ไม่รู้ค่ะ ระหว่างทางที่เราเดินชมบ้านเมือง ร้านค้า และชายหนุ่ม >< เราก็สะดุดตากับสิ่งนี้ค่ะ ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เราอยากเจอ 1 ใน 10 ของการมาเยือนญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ จากเดิมที่เคยใช้ชีวิตในอเมริกามา (ไม่นานนัก) เราคุ้นเคยกับ homeless พอสมควร และที่ญี่ปุ่นนี่เอง เขาจะประหลาดกว่านิดหน่อย ตรงที่ชื่อเรียกนี่แหล่ะค่ะ "มนุษย์กล่อง" วันนี้เราได้พบกับเขาแล้วล่ะ จะบอกว่าไม่ได้มีเยอะ เหมือนที่เราจินตนาการ ในอากาศหนาว ชื้นแฉะ มีเพียงกล่อง 2 ใบช่วยคลายได้ดีทีเดียว พร้อมทั้งมีคนใจดีเอาอาหารมาวางอย่างที่เห็นค่ะ เราดีใจที่ได้เจอ เลยแอบถ่ายรูปมา 1 ใบ >< แล้วก็หลงต่อ
เดินมาเรื่อย ๆ ปะทะกับเจ้าตู้หยอดเหรียญ ริกกะคูมะ คร้า แล้วใจดวงน้อย ๆ ของอิชั้นจะอดใจไหวได้อย่างไร 5555 สติมาอยู่อีกทีตอนที่ควักเงินไป 500 เยน แต่ไม่ได้สักตัว T_T ในใจก็คิดว่ามันอาจเป็นเพราะตุ๊กตาตัวเล็กไปอาจจะมีความยาก งั้นเดินเข้าไปข้างในกันเถอะ เราจะเจอตู้หยอดตัวใหญ่ ที่หยอดครั้งละ 300 เยน เอิ่ม สติค่ะ สติ ดิชั้นคำนวนดูถ้ายอดอีกแล้วไม่ได้อาจสูญเงินไปกว่า 1000 เยน เงินไทยก็ 3 ร้อยกว่าบาท ซื้อดีกว่าไม๊? 555 ความงกพรุ่งปรี๊ดดดด! จูงมือเพื่อนที่กำลังจะหย่อนเงินออกจากร้านทันที ออกเดินเท้ากันต่อไป และเราก็เจอกับ ABC อีกแล้วคร้า 555 แอบถ่ายมา ดูราคาสิคะ New balance หมื่นก่าเยน บางรุ่น 8-9 พันเยน ราคาก็แล้วแต่รุ่น และยี่ห้อค่ะ แต่ขอบอกว่าถูกนะ ปกติเราจะฝากเพื่อนซื้อจากเมกา ซึ่งราคาก็ไม่ทิ้งห่างจากที่นี่ ส่วนของไทยไม่ต้องพูดถึงค่ะ บางรุ่นถูกกว่าเกือบ 1 พันบาทเลยอ่ะ
เราเดินเลือกซื้อของที่นี่ทั้งวันเลยค่ะ จะบอกว่าให้เวลาทั้งหมดที่มีก็เดินไม่ทั่วจริงๆ จนรู้สึกเดินไม่ไหวแล้วล่ะ พร้อมกับทั้งฝนและอากาศค่อนข้างเย็น ของก็หนักเลยตัดสินใจกลับที่พัก เอาไปเก็บก่อนค่ะ แล้วออกมาใหม่ช่วงที่เรามา หรือว่าเป็นทุกช่วงก็ไม่รู้นะ สัก 5 -6 โมงเย็นก็มืดแล้วอ่ะ
เราออกมานั่งรถไฟฟ้าไปย่านอากิฮาบาระค่ะ เสียดายมาก ๆ ตอนที่เรามาทั้งฝนและพายุโหมกระหน่ำมาก บอกเลยว่าเปียกทั้งตัว แต่ไม่ย่อท้อ แอบหลบฝนแล้วถ่ายคลิปพายุมาฝากนิดหน่อยค่ะ ติดอยู่ตรงนี้เกือบครึ่งชั่วโมง แล้วเลยตัดสินใจกลับกันเถอะ ด้วยความหิวมันเรียกร้อง เราเลยทั้งวิ่งและเดินกลับไปยังสถานีที่เรามา จุดตรงนั้นก็จะมีห้างอยู่ค่ะ เลยคิดว่าจะทานข้าวที่นั่น และแล้วเราก็พบกับที่นี่ค่ะ เป็นร้านซูชิ แบบยืนทาน ร้านเล็ก ๆ อยู่ในมุมด้านในสุดของห้าง ทีแรกเราแต่ก็ต้องถอยออกมาตั้งหลักก่อนเพราะอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกเลย แถมเมนูซูชิที่เป็นภาษาอังกฤษก็ไม่รู้จักด้วยค่ะ 5555 ตั้งหลักเดินเล่น (เสียเงินซื้อของอีกแล้ว) ด้วยท้องมันเรียกร้อง เพื่อนก็อยากลองทานร้านนั้น เราเลยตัดสินใจเดินกลับไปใหม่ จากที่ตัวเปียกๆ รองเท้าชุ่มไปด้วย
น้ำฝน นี่แห้งสนิทเลยนะ 555 และเราก็ได้กิน ซึ่งรสชาตสมกับการกลับมาจริง ๆ ค่ะ ที่นี่ใช้ปลาสดจริง ๆ เลยทำให้มีรสหวานแบบธรรมชาติซูชิก็ก้อนใหญ่ค่ะ เป็นเนื้อห่อข้าว ทานเข้าไปล้นปากค่ะ (จะบอกว่าปากเล็ก><) แถมชาเขียวยังให้เราบริการตัวเองแบบมีหัวก๊อกน้ำร้อน ซึ่งผงชาเขียวเขาจะมีบริการให้เราตรงพวกกระปุกเครื่องปรุงเลยค่ะ
และอาหารที่เราสั่งก็หน้าตาแบบนี้ค่ะ ราคาก็ไม่แพงนะ ทานเสร็จก็เอากระดาษที่เราเลือกไว้ไปคิดเงินหน้าร้านค่ะ อ้อ! ต้องชมเชฟที่นี่ด้วยค่ะ ทุกคนบริการเราดีมาก ๆ ทั้งแนะนำ ถามและช่วยเหลือเราในการสั่งทุกอย่าง บอกเลยว่าประทับใจ ถ้าไปอีก ร้านนี้จะเป็นร้านที่เราต้องไปใช้บริการอีกแน่นอนค่ะ
เราเดินเลือกซื้อของที่นี่ทั้งวันเลยค่ะ จะบอกว่าให้เวลาทั้งหมดที่มีก็เดินไม่ทั่วจริงๆ จนรู้สึกเดินไม่ไหวแล้วล่ะ พร้อมกับทั้งฝนและอากาศค่อนข้างเย็น ของก็หนักเลยตัดสินใจกลับที่พัก เอาไปเก็บก่อนค่ะ แล้วออกมาใหม่ช่วงที่เรามา หรือว่าเป็นทุกช่วงก็ไม่รู้นะ สัก 5 -6 โมงเย็นก็มืดแล้วอ่ะ
เราออกมานั่งรถไฟฟ้าไปย่านอากิฮาบาระค่ะ เสียดายมาก ๆ ตอนที่เรามาทั้งฝนและพายุโหมกระหน่ำมาก บอกเลยว่าเปียกทั้งตัว แต่ไม่ย่อท้อ แอบหลบฝนแล้วถ่ายคลิปพายุมาฝากนิดหน่อยค่ะ ติดอยู่ตรงนี้เกือบครึ่งชั่วโมง แล้วเลยตัดสินใจกลับกันเถอะ ด้วยความหิวมันเรียกร้อง เราเลยทั้งวิ่งและเดินกลับไปยังสถานีที่เรามา จุดตรงนั้นก็จะมีห้างอยู่ค่ะ เลยคิดว่าจะทานข้าวที่นั่น และแล้วเราก็พบกับที่นี่ค่ะ เป็นร้านซูชิ แบบยืนทาน ร้านเล็ก ๆ อยู่ในมุมด้านในสุดของห้าง ทีแรกเราแต่ก็ต้องถอยออกมาตั้งหลักก่อนเพราะอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกเลย แถมเมนูซูชิที่เป็นภาษาอังกฤษก็ไม่รู้จักด้วยค่ะ 5555 ตั้งหลักเดินเล่น (เสียเงินซื้อของอีกแล้ว) ด้วยท้องมันเรียกร้อง เพื่อนก็อยากลองทานร้านนั้น เราเลยตัดสินใจเดินกลับไปใหม่ จากที่ตัวเปียกๆ รองเท้าชุ่มไปด้วย
น้ำฝน นี่แห้งสนิทเลยนะ 555 และเราก็ได้กิน ซึ่งรสชาตสมกับการกลับมาจริง ๆ ค่ะ ที่นี่ใช้ปลาสดจริง ๆ เลยทำให้มีรสหวานแบบธรรมชาติซูชิก็ก้อนใหญ่ค่ะ เป็นเนื้อห่อข้าว ทานเข้าไปล้นปากค่ะ (จะบอกว่าปากเล็ก><) แถมชาเขียวยังให้เราบริการตัวเองแบบมีหัวก๊อกน้ำร้อน ซึ่งผงชาเขียวเขาจะมีบริการให้เราตรงพวกกระปุกเครื่องปรุงเลยค่ะ
และอาหารที่เราสั่งก็หน้าตาแบบนี้ค่ะ ราคาก็ไม่แพงนะ ทานเสร็จก็เอากระดาษที่เราเลือกไว้ไปคิดเงินหน้าร้านค่ะ อ้อ! ต้องชมเชฟที่นี่ด้วยค่ะ ทุกคนบริการเราดีมาก ๆ ทั้งแนะนำ ถามและช่วยเหลือเราในการสั่งทุกอย่าง บอกเลยว่าประทับใจ ถ้าไปอีก ร้านนี้จะเป็นร้านที่เราต้องไปใช้บริการอีกแน่นอนค่ะ