ตู้หยอดเหรียญสำหรับจอดรถ |
ต่อจากคราวที่แล้ว เรามาถึงฮาราจูกูแล้วนะ ทีนี้ก็ถึงความบันเทิงยามค่ำคืนของเราแล้วล่ะ (คิดว่าแบบนั้น) เพราะการมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก ทุกอย่างมันน่าตื่นเต้นไปหมดเลยค่ะ ไม่ว่าจะถนนหนทาง ผู้คน แหล่งช้อปปิ้งต่าง ๆ แม้กระทั่งไอ่ตู้เขียว ๆ นี่แหล่ะ จากเดิมที่เราเคยเจอจากประเทศอื่น ๆ มาบ้างแล้ว แต่ก็อืม ไม่ประทับใจเท่าญี่ปุ่นเลย เพราะที่นี่มีเยอะมากและที่สำคัญมันดูน่าสนใจตรงที่ใหญ่และเหมือนตู้หยอดเครื่องดื่มค่ะ แหะ ๆ เลยชักมาสัก 1 ภาพ เราเดินจาก ฮาราจูกูไปชินจูกู กันค่ะ จะว่าไปแล้วคืนนี้เราไม่ค่อยได้ภาพมาสักเท่าไหร่ อาจเพราะเรายังเพลียจากการเดินทาง แต่สิ่งหนึ่งที่มีก็คือ ความปลาบปลื้มของผู้คนในประเทศนี้ที่มีระเบียบและไมตรี จริง ๆ ค่ะ แม้กระทั่งเรื่องระเบียบในการเข้าแถวซื้อตั๋วโดยสาร อาหาร ขึ้นบันไดเลื่อน ก็ต้องยอมรับถ้าบ้านเราเพิ่มระเบียบพวกนี้ได้จะทำให้การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ง่ายขึ้นจริง ๆ
เดินไปหลาย ๆ มุมถนน เราก็จะพบตู้หยอดซื้อของต่าง ๆ ค่ะ ซึ่งราคาน้ำดื่มจะเริ่มต้นที่ 100 เยน (ตอนเราไปค่าเงินอยู่ที่ 0.319 ก็คูณราคาเยน จะได้ค่าเงินบาทไทย น้ำดื่มก็จะอยู่ที่ ราคาเริ่มต้น 31.9 บาทค่ะ) ซึ่งเราสังเกตว่าราคาอาจมีต่างกันเล็กน้อยนะคะ บางตู้ก็เริ่มที่ 120 เยน และแน่นอนค่ะ เรามาสะดุดตาที่ตู้นี้ เป็นตู้จำหน่ายบุหรี่ซึ่งเห็นแล้วมันอลังการมากค่ะ เลยแวะหยอดมาเป็นของฝากให้เพื่อน ราคาสำหรับชิ้นนี้อยู่ที่ 500 เยนค่ะ เราชอบเพราะมีไฟแช็คอันเล็ก ๆ แถมให้ด้วยแหล่ะ แถมเป็นยี่ห้อที่เราไม่คุ้นตาตอนอยู่ที่ไทยอีกต่างหาก (หวังว่าเพื่อนจะชอบนะเออ) เราเดินไปเรื่อย ๆ และพบว่า ท้องร้องเหลือประมาณค่ะ และแล้วการปล่อยไก่ครั้งที่ ... (เท่าไหร่แล้วนะ) ของเราก็เริ่มอีกครั้ง
อาหารมื้อแรกแบบจริงจังที่โตเกียว |
มาสะดุดตาที่ร้านนี้ค่ะ คือจะบอกว่าเข้าร้านนี้เพราะความหิวล้วน ๆ เลยไม่มีบทจะพิจารณาอะไรเลย พอเห็นเมนูก็เช่นเคยค่ะ อ่านภาษาอังกฤษที่มีอยู่น้อยนิด เห็นภาพแล้วจิ้มเลยค่ะ จุดเด่นของร้านนี้คือ เชฟหน้าตาดีมว๊ากกกก บริการดีมว๊ากกกกก แถมแนะนำวิธีการรับประทาน และอธิบายด้วยนะว่าอะไรเป็นอะไร ด้วยภาษาญี่ปุ่น 0_0 แต่ก็มีภาษาอังกฤษปนไป โอเคค่ะ เพราะหน้าตาเชฟหรอกนะ ฉันเลยยอม คริๆ พอเราได้อาหารมา หน้าตาเป็นอย่างที่เห็นในภาพค่ะ
จะมีกุ้งเทมปูระ/ไก่เทมปูระ โป๊ะข้าว ไข่ออนเซน มิโซะซุป เราสั่งชาร้อนเพิ่ม 1 แก้ว ราคาอยู่ที่ 650 เยน (2ร้อยนิด ๆ ค่ะ ) ถือว่าราคาไม่แพงนะ แล้วเชื่อไหมว่า หิวโซกขนาดนี้ ก็กินไม่หมดอยู่ดีค่ะ
หลังจากอิ่มแล้ว ก็เริ่มง่วงแล้วค่ะ ขณะที่เราเดินผ่านร้าน LAWSON เราก็นึกขึ้นได้ค่ะ ว่าที่นี่จะมีตั๋วสำหรับพิพิทธภัณฑ์โดเรมอน (Fujiko F fujio Museum) ราคาอยู่ที่ 700 เยนต่อคนค่ะ ซึ่งต้องให้พนักงานที่นี่ช่วยค่ะ เพราะตู้เป็นภาษาญี่ปุ่น แถมต้องเลือกเวลาเข้าและระบุรายละเอียดกว่าที่เราจะได้ตั๋วมาก็เกือบจะพลาดเหมือนกัน เพราะเราถามเขาเป็นภาษาอังกฤษ ว่า Doraemon museum ซึ่งแน่นอนค่ะ ไม่มีใครรู้จัก แย่แล้ว ทำไงดีน้อ!!!! เลยใช้เจ้า iPad เปิดแล้วให้เขาดูพนักงานที่นี่ก็ยังงง ๆ ค่ะ อาจเป็นเพราะเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ทำให้สื่อสารกันลำบาก เราถอดใจแล้วกำลังจะเดินออกไปค่ะ โอ๊!! ตาเหลือบไปเห็นเครื่องจำหน่ายตั๋ว กรีสสสสส.... ยิ้มแป้นแล้น แล้วรีบแจ้นไปหาพนักงานค่ะ ก็บอกว่า"ช่วยฉันหน่อย ฉันจะใช้เครื่องนี้ซื้อตั๋วไปที่นี่" แล้วก็ให้เจ้าน้องแพดให้เขาดูอีกรอบ เขาก็อ๋อขึ้นมาทันที เริ่ดค่ะ พนักงานมาช่วย แล้วก็ถามอะไร ๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น เอิ่ม.. แต่ก็เดา ๆ เอาค่ะ พยายามถามย้อนเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่เราเองก็ไม่ได้คล่องมาก ซึ่งก็จะมีเวลาที่เราจะเข้า (พิพิทธภัณฑ์นี้จะมีรอบค่ะ)เราเลือกเวลา 11.00 น. ก็ถามชื่อเรา ขอดูพาสปอรต (เพื่อกรอกชื่อ) วันไหน กี่คน (เราเลือกที่จะไปวันถัดไปเพราะวันพรุ่งนี้ตามแพลนของเรา เราจะไปฟูจิซังกันค่ะ) ก็มีให้กด ๆ ค่ะ ก็บอก ๆ พนักงานไป วู้ปี้!!! กว่าจะได้ตั๋วมา เป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจจริง ๆ ค่ะ งานนี้ขอบคุณน้องพนักงานมาก ๆ ที่ถึงแม้จะสื่อสารกันลำบาก แต่เขาก็พยายามอย่างมากกกกกกกเลยค่ะ
ศาลเจ้า |
เวลาที่นั่นก็ประมาณ 5 ทุ่มกว่าแล้ว จะบอกว่าที่นี่ยามค่ำคืน เงียบ เงียบจริง ๆ ค่ะ รถไฟมีบริการถึงเที่ยงคืน ซึ่งแน่นอน เราหลงกันอีกแล้ว แต่หลงไม่ไกลจากที่พักมาก ก็เลยถือซะว่าเดินชิมบรรยากาศกรุงโตเกียวยามค่ำคืนละกัน เลยได้ภาพนี้มาเป็นที่ระทึก ก่อนที่จะลุย "ฟูจิซัง"