วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

พักเหนื่อยแล้วมาต่อกันดีกว่า ฮาราจูกู part II


           กลับมาแล้วคร้า ..  ช่วงนี้งานค่อนข้างรัดตัวจริง ๆ เลยนะ แต่ยังไงจะพยายามเขียนแบบต่อเนื่องนะคะ 

ตู้หยอดเหรียญสำหรับจอดรถ
          
      ต่อจากคราวที่แล้ว เรามาถึงฮาราจูกูแล้วนะ ทีนี้ก็ถึงความบันเทิงยามค่ำคืนของเราแล้วล่ะ (คิดว่าแบบนั้น) เพราะการมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก ทุกอย่างมันน่าตื่นเต้นไปหมดเลยค่ะ ไม่ว่าจะถนนหนทาง ผู้คน แหล่งช้อปปิ้งต่าง ๆ แม้กระทั่งไอ่ตู้เขียว ๆ นี่แหล่ะ จากเดิมที่เราเคยเจอจากประเทศอื่น ๆ มาบ้างแล้ว แต่ก็อืม ไม่ประทับใจเท่าญี่ปุ่นเลย เพราะที่นี่มีเยอะมากและที่สำคัญมันดูน่าสนใจตรงที่ใหญ่และเหมือนตู้หยอดเครื่องดื่มค่ะ แหะ ๆ เลยชักมาสัก 1 ภาพ เราเดินจาก   ฮาราจูกูไปชินจูกู  กันค่ะ จะว่าไปแล้วคืนนี้เราไม่ค่อยได้ภาพมาสักเท่าไหร่ อาจเพราะเรายังเพลียจากการเดินทาง แต่สิ่งหนึ่งที่มีก็คือ ความปลาบปลื้มของผู้คนในประเทศนี้ที่มีระเบียบและไมตรี จริง ๆ ค่ะ  แม้กระทั่งเรื่องระเบียบในการเข้าแถวซื้อตั๋วโดยสาร อาหาร ขึ้นบันไดเลื่อน ก็ต้องยอมรับถ้าบ้านเราเพิ่มระเบียบพวกนี้ได้จะทำให้การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ง่ายขึ้นจริง ๆ 



          เดินไปหลาย ๆ มุมถนน เราก็จะพบตู้หยอดซื้อของต่าง ๆ ค่ะ ซึ่งราคาน้ำดื่มจะเริ่มต้นที่ 100 เยน (ตอนเราไปค่าเงินอยู่ที่ 0.319 ก็คูณราคาเยน จะได้ค่าเงินบาทไทย น้ำดื่มก็จะอยู่ที่ ราคาเริ่มต้น 31.9 บาทค่ะ) ซึ่งเราสังเกตว่าราคาอาจมีต่างกันเล็กน้อยนะคะ บางตู้ก็เริ่มที่ 120 เยน และแน่นอนค่ะ เรามาสะดุดตาที่ตู้นี้ เป็นตู้จำหน่ายบุหรี่ซึ่งเห็นแล้วมันอลังการมากค่ะ เลยแวะหยอดมาเป็นของฝากให้เพื่อน ราคาสำหรับชิ้นนี้อยู่ที่ 500 เยนค่ะ เราชอบเพราะมีไฟแช็คอันเล็ก ๆ แถมให้ด้วยแหล่ะ แถมเป็นยี่ห้อที่เราไม่คุ้นตาตอนอยู่ที่ไทยอีกต่างหาก (หวังว่าเพื่อนจะชอบนะเออ) เราเดินไปเรื่อย ๆ และพบว่า ท้องร้องเหลือประมาณค่ะ และแล้วการปล่อยไก่ครั้งที่ ... (เท่าไหร่แล้วนะ) ของเราก็เริ่มอีกครั้ง


อาหารมื้อแรกแบบจริงจังที่โตเกียว
              มาสะดุดตาที่ร้านนี้ค่ะ คือจะบอกว่าเข้าร้านนี้เพราะความหิวล้วน ๆ เลยไม่มีบทจะพิจารณาอะไรเลย พอเห็นเมนูก็เช่นเคยค่ะ อ่านภาษาอังกฤษที่มีอยู่น้อยนิด เห็นภาพแล้วจิ้มเลยค่ะ จุดเด่นของร้านนี้คือ เชฟหน้าตาดีมว๊ากกกก บริการดีมว๊ากกกกก แถมแนะนำวิธีการรับประทาน และอธิบายด้วยนะว่าอะไรเป็นอะไร ด้วยภาษาญี่ปุ่น 0_0 แต่ก็มีภาษาอังกฤษปนไป โอเคค่ะ เพราะหน้าตาเชฟหรอกนะ ฉันเลยยอม คริๆ พอเราได้อาหารมา หน้าตาเป็นอย่างที่เห็นในภาพค่ะ 
จะมีกุ้งเทมปูระ/ไก่เทมปูระ โป๊ะข้าว ไข่ออนเซน มิโซะซุป เราสั่งชาร้อนเพิ่ม 1 แก้ว ราคาอยู่ที่ 650 เยน (2ร้อยนิด ๆ ค่ะ ) ถือว่าราคาไม่แพงนะ แล้วเชื่อไหมว่า หิวโซกขนาดนี้ ก็กินไม่หมดอยู่ดีค่ะ 



            หลังจากอิ่มแล้ว ก็เริ่มง่วงแล้วค่ะ ขณะที่เราเดินผ่านร้าน LAWSON เราก็นึกขึ้นได้ค่ะ ว่าที่นี่จะมีตั๋วสำหรับพิพิทธภัณฑ์โดเรมอน (Fujiko F fujio Museum) ราคาอยู่ที่ 700 เยนต่อคนค่ะ  ซึ่งต้องให้พนักงานที่นี่ช่วยค่ะ เพราะตู้เป็นภาษาญี่ปุ่น แถมต้องเลือกเวลาเข้าและระบุรายละเอียดกว่าที่เราจะได้ตั๋วมาก็เกือบจะพลาดเหมือนกัน เพราะเราถามเขาเป็นภาษาอังกฤษ ว่า Doraemon museum ซึ่งแน่นอนค่ะ ไม่มีใครรู้จัก แย่แล้ว ทำไงดีน้อ!!!! เลยใช้เจ้า iPad เปิดแล้วให้เขาดูพนักงานที่นี่ก็ยังงง ๆ ค่ะ อาจเป็นเพราะเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ทำให้สื่อสารกันลำบาก เราถอดใจแล้วกำลังจะเดินออกไปค่ะ โอ๊!! ตาเหลือบไปเห็นเครื่องจำหน่ายตั๋ว กรีสสสสส.... ยิ้มแป้นแล้น แล้วรีบแจ้นไปหาพนักงานค่ะ ก็บอกว่า"ช่วยฉันหน่อย ฉันจะใช้เครื่องนี้ซื้อตั๋วไปที่นี่" แล้วก็ให้เจ้าน้องแพดให้เขาดูอีกรอบ เขาก็อ๋อขึ้นมาทันที เริ่ดค่ะ พนักงานมาช่วย แล้วก็ถามอะไร ๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น เอิ่ม.. แต่ก็เดา ๆ เอาค่ะ พยายามถามย้อนเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่เราเองก็ไม่ได้คล่องมาก ซึ่งก็จะมีเวลาที่เราจะเข้า (พิพิทธภัณฑ์นี้จะมีรอบค่ะ)เราเลือกเวลา 11.00 น. ก็ถามชื่อเรา ขอดูพาสปอรต (เพื่อกรอกชื่อ) วันไหน กี่คน (เราเลือกที่จะไปวันถัดไปเพราะวันพรุ่งนี้ตามแพลนของเรา เราจะไปฟูจิซังกันค่ะ) ก็มีให้กด ๆ ค่ะ ก็บอก ๆ  พนักงานไป วู้ปี้!!! กว่าจะได้ตั๋วมา เป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจจริง ๆ ค่ะ งานนี้ขอบคุณน้องพนักงานมาก ๆ ที่ถึงแม้จะสื่อสารกันลำบาก แต่เขาก็พยายามอย่างมากกกกกกกเลยค่ะ 
ศาลเจ้า

                    เวลาที่นั่นก็ประมาณ 5 ทุ่มกว่าแล้ว จะบอกว่าที่นี่ยามค่ำคืน เงียบ เงียบจริง ๆ ค่ะ รถไฟมีบริการถึงเที่ยงคืน ซึ่งแน่นอน เราหลงกันอีกแล้ว      แต่หลงไม่ไกลจากที่พักมาก ก็เลยถือซะว่าเดินชิมบรรยากาศกรุงโตเกียวยามค่ำคืนละกัน เลยได้ภาพนี้มาเป็นที่ระทึก ก่อนที่จะลุย "ฟูจิซัง"






            

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

มันเกิดขึ้นแล้ว จริง ๆ นะ

             หลังจากตอนที่แล้ว เราก็ได้ขึ้นรถไฟจริง ๆ กันสักทีค่ะ ปล่อยความโก๊ะ ไป 1 ดอก  ก็นั่งมองวิวทิวทัศน์ จากสนามบินนาริตะ มองผู้คนไปเรื่อย ๆ ถนนหนทาง บ้านเรือน สะดุดตากับฝรั่งบ้าง ลูกครึ่งบ้าง ซึ่งแน่นอนค่ะ หลาย ๆ คนก็มีมองเรานะ เพราะเรานั่งจับจ้องเส้นทาง สถานีที่เขาจอด และหน้าจอน้องไอโฟน ที่มี กู!!! เป็นเครื่องนำทางค่ะ เรามีเปลี่ยนสาย 1 สายนะ ก็ขอโทษจริง ๆ จำชื่อสถานีไม่ได้ และสุดท้ายเราก็มาถึงสถานีปลายทาง asakusabashi 
อย่างปลอดภัย ตอนนี้แหล่ะค่ะ
            เมื่อลงสถานีแล้วก็ต้องเปิดการบ้านสักหน่อย ก่อนหน้านี้เราจะมีคุยกับทางเจ้าหน้าที่ของที่พักเรื่องการเดินทาง และเขาก็ส่งแผนที่มาให้อธิบายว่าต้องต่อสถานีอะไร ออกทางออกไหน ประมาณนี้ค่ะ ก็เลยทราบว่า ออ..ต้องออกทาง exit 6 โอเครเลย ก็เดินไปจนสุดท้ายขึ้นมาเหยียบถนนกรุงโตเกียวจริง ๆ สักทีนาทีแรก ว๊าบบบบค่ะ หนาวมว๊ากกกกก หลังจากนี้แผนที่ไม่ช่วยอะไรอีกต่อไป สุดท้ายเห็นหนทางว่า กู..นี่แหล่ะค่ะ เวริคสุด ๆ ไปเลย

      และแล้วเราก็มาถึงที่พักค่ะ ขึ้นไปเช็คอิน และพบกว่า อีตาฝรั่งหนุ่มที่สบตากันบนรถไฟก่อนที่เราจะเปลี่ยนสถานีนั้น!!! พักที่นี่ แถมยังยิ้มแล้วหัวเราะ (อย่างเป็นมิตร) 

            "เราเจอกันรถไฟเมื่อกี้นี่ ใช่มะ? แล้วนี่คุณเพิ่งมาถึงเหรอ? ผมมาถึงนานแล้วนะ"
           >//<   '' นึกในใจ "อีตาบ้า ชั้นหลงไงยะ!!" 
           เราก็ยิ้ม ๆ แล้วก็บอกไปว่า 
       "อืมใช่ เราเจอกันบนรถ แล้วเราน่ะหลง เราเปลี่ยนสถานี เชื่อตามแผนที่นี่แหล่ะ แห่ะ ๆ (มีโทษแผนที่นะ)" 

          สุดท้ายเราก็เช็คอินค่ะ พนักงานพูดภาษาอังกฤษคล่องมาก อธิบายแต่ละส่วน แต่ละพารทของที่พัก ห้องน้ำ อาหารเช้า และที่นี่มีห้องครัว ที่สามารถทำอาหารทานเองได้นะ ในห้องนอนห้ามนำอาหารเข้าไปทาน รวมถึงน้ำเปล่าด้วย ถ้าหิวหรืออะไร เขาก็มีล๊อบบี้ (เล็ก ๆ) ไว้ต้อนรับ อุ่นหนาไปด้วย ฝรั่ง และญี่ปุ่น ล๊อบบี้ที่เล็กก็เลยดูยิ่งเล็กไปถนัดตาเลยค่ะ แต่น่ารักเหมือนในหนังเดี๊ยะ!! รู้สึกปลื้มที่นี่ตั้งแต่วินาทีแรกเลยล่ะ 
              จากนั้นพนักงานก็พาเราไปยังชั้นที่พักค่ะ เราเลือกพักแบบห้องรวมหญิงซึ่งจะอยู่ชั้น 3 อ่อ ขนาดของบ้านหลังนี้ มีประมาณ 5 ชั้น (ถ้าจำไม่ผิดนะ)  ชั้นแรกจะเป็นทางเข้า เปิดประตูเข้ามาจะเจอเคาน์เตอร์เล็ก ๆ มีที่เสียบร่ม ลิฟท์ และบันได (ไม่ได้ถ่ายรูป เสียดายจริง ๆ ) ส่วนงานต้อนรับ ล๊อบบี้ ห้องครัว จะอยู่ชั้น 4 ค่ะ (ใครนึกไม่ออก นึกถึงโดเรมอนก็ได้ค่ะ แต่แค่ไม่มีทางเดินยาว ๆ)
             มาต่อกันที่ชั้นของเราเลย เขาก็ให้กุญแจเรามา 1 ดอกสำหรับไขประตู พาเราไปที่เตียง (2 ชั้น) ซึ่งเรากับเพื่อนจะอยู่คนละชั้นกัน พร้อมมีป้ายชื่อของเราทั้ง 2 คนค่ะ ห้องเล็ก ๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะจุเตียงได้ถึง 5 เตียงแบบไม่แออัด ยังมีล๊อคเกอร์อีก 10 ตู้ สำหรับใส่รองเท้า หรือของมีค่าอีกด้วยนะเออ โว้! minimal ตัวจริง หลังจากนั้นเขาก็พาไปห้องน้ำค่ะ (อยู่หน้าห้องพักเรานี่แหล่ะ) ซึ่งจะเป็นห้องน้ำรวม ชายและหญิงอยู่ใกล้กันแทบจะใช้ส่วนเดียวกันเลยก็ว่างั้น แต่ไม่ค่ะ ลบภาพห้องน้ำรวมแบบไทยเราได้เลย มันสะอาด และดูมีระเบียบมากจริง ๆ ต้องบอกเล็กน้อย เราเป็นคนเรื่องมากเรื่องห้องน้ำในระดับค่อนข้างสูงเลยทีเดียว คือแล้วยิ่งถ้าเป็นห้องรวมแบบนี้ บอกตรง ๆ ตอนที่จองจินตนาการไม่ออกเลยค่ะ ว่าฉันจะกล้าอาบน้ำไหม? ขนาดใช้บริการร้านอาหารที่บ้านเรา ถ้าเป็นห้องน้ำรวมดิฉันสบัดบ๊อบค่ะ ยอมอั้นกลับไปทำภาระกิจที่บ้าน 5555
              แต่สำหรับที่นี่ เราต้องยอมและคาราวะในระเบียบของเขาจริง ๆ เขาจะแบ่งห้องอาบน้ำ และห้องน้ำ ส่วนของห้องน้ำจะมี 2 ห้อง และห้องอาบน้ำมีแบ่งโซนแห้ง โซนเปียกอีก 2 ห้อง ซึ่งแน่นอนค่ะ สำหรับท่านชายก็จำนวนเท่ากัน (จะบอกว่า ห้องน้ำที่บ้านอิฉันมีขนาดใหญ่เกือบเท่าห้องน้ำที่รวมทั้ง 8 ห้องเลย อืมมม..... เปลืองพื้นที่โดยใช่เหตุนะเนี่ยะ) เป็นอีกจุดสำคัญที่เราเริ่มเห็นและยอมรับการแบ่งปัน จัดสรรพื้นที่ได้อย่างฉลาดของคนที่นี่ค่ะ เอาล่ะชมห้องพักมาพอประมาณ เหนื่อยเหลือเกิน อยากหลับตาสักงีบ ขอไปอาบน้ำสักแปบนึงก่อนนะ คริ ๆ 

      หลังจากอาบน้ำเสร็จ กะว่าจะเอนปิดตาลงสักหน่อย จะเหลือเหรอคะ เมื่อแรงของเราพุ่งขึ้นสูงขนาดนั้น แค่มองตากับเพื่อน แล้วก็พยักหน้าคู่ค่ะ เราออกเดินทางกันเลย สถานีแรกของเราคือ ฮาราจูกุค่ะ ><


       คราวนี้เราเลือกใช้บริการ JR ค่ะ เมื่อเราเดินจากที่พัก ก็พบว่าอยู่ไม่ไกลสะดวกมากเลย แต่ประเด็นสำคัญคือ.... อะไรกันนี่!!! ฉันจะซื้อตั๋วไปไหน ซื้อยังไง เมื่อไปที่ตู้จะพบว่า มีแต่ราคาค่ะ คือเราต้องกดจำนวนคน และราคาตั๋ว สำหรับจะทราบได้อย่างไรว่าจะหลงสถานีไหนต้องจ่ายกี่บาท ก็ต้องดูแผนที่ซึ่งยอมรับค่ะ ว่ายากสำหรับคนดูแผนที่ไม่เป็นแบบเรา แถมยังเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย (อันที่จริงมีแผนที่ภาษาอังกฤษมาด้วยแต่งงมากค่ะ เพราะที่ญี่ปุ่น คุณจะพบว่า มีผู้ให้บริการรถไฟต่าง ๆ หลายเจ้ามาก คุณจะไปไหนก็ต้องดูดี ๆ ค่ะ ว่ามีเจ้าไหนให้บริการบ้างบางเจ้าอาจต้องต่อ บางเจ้านั่งตรงได้เลย บอกเลยค่ะ แค่ MRT หรือ BTS บ้านเราที่แค่เข้าไปนั่งเฉย ๆ อิฉันยังหลงจนชิน 5555 เอาล่ะ หมดเวลาตาแตก เรามาปล่อยความโก๊ะกันเลยค่ะ ให้รู้ซะมั้ง คนไทยไม่น้อยหน้าเรื่องนี้ กร๊ากก)

          พอคิดไปมาเราก็อืม หันไปเห็นเขามีเจ้าหน้าที่จำหน่ายตั๋วนี่นา เด๋วเราไปเข้าคิวซื้อกับเขาดีกว่าเนอะ ก็รอคิวไปสักพักค่ะ สุดท้าย เพื่อนที่น่ารักของเรา (ค่อนข้างเก่งเรื่องการดูแผนที่ โดยเฉพาะกับอากู) ก็หันมาบอกแบบให้ความหวังกับเราว่า "เจ๊!! ในนี้บอกให้หยอด 210 เยน" เราสบตาเพื่อนคำถามที่พูดออกไปคือ "แกคิดว่าฉันควรจะไว้ใจอากูใช่มะ?" พูดเสร็จไม่รอคำตอบค่ะ เดินแยกออกจากแถวแล้วไปที่ตู้กด หยดเงินลงไป พร้อมกดจำนวนคน เท่านั้นค่ะ ได้รับเงินทอน และตั๋วออกมาให้ 2 ใบ คริ ๆ

       หลังจากนั้นเราก็เข้าไปสู่สถานีที่...เอิ่ม เฮ้ย!! ทางมันทำไมเยอะจังอ่ะ?? แล้วยังไง ฉันเดินทางไหน แต่เดี๋ยวค่ะ !!! ก่อนออกเดินทางดิฉันสำรวจเรื่องมนุษย์ป้ามาพอสมควร ถ้าฉันหลง ฉันมึน ฉันโก๊ะ ฉันจะไม่ยืนกลางถนนเด็ดขาด กร๊ากกกก หราาา หยุดเดินมันหน้าป้ายเลยค่ะ แล้วคว้าแว่นมาใส่ ยืนงงเต๊กกับป้ายบอกทาง ที่ไม่มีบอกว่า ฉันจะไปฮาราจูกุ จะต้องไปทางเดินหมายเลขอะไร >//< คือเขาเหมือนจะบอกแค่ว่าสุดสายของขบวนที่จะไปถึงน่ะ อะไรบ้างก็จะมีผ่านอะไร นิดหน่อยค่ะ ซึ่งเราเองก็เพิ่งมาถึงวันแรกไง รีบถามเพื่อนเลย อากู๋ บอกว่าทางไหน? โอเค งานนี้ให้ใจอากู๋ไปเลยค่ะ สุดท้ายดิฉันก็ลากตัวเองมาถึง ฮาราจูกู จนได้นะเออ!!
เครปเย็นต้นตำรับ เขาว่าเจ้านี้เป็นเจ้าแรกเลยนะ
ร้านบัฟเฟต์ปูค่ะ




Ohiyo Tokyo!!

wifi router
        และในที่สุด เราก็มาถึงโตเกียวกันค่ะ โชคดีที่เราเตรียม wifi router มาจากประเทศไทยแล้ว เราเช่าตั้งแต่วันที่ 10 และคืนวันที่ 17 ค่ะ  เขาจะคิดค่าบริการเฉพาะวันที่เราบิน จนมาถึงวันที่เรากลับเท่านั้นค่ะ เท่ากับว่าเราเช่า 5 วัน หน้าตาประมาณนี้ค่ะ แอบกระซิบบอกว่า คุ้มมาก ๆ และถ้าไม่ได้เจ้านี่ รับรองค่ะ หาทางกลับที่พักไม่เจอ 555 ส่วนสนนราคาของแต่ละผู้ให้บริการก็ลองเช็คกันตามเวปนะคะ ราคาไม่ทิ้งกันมาก เราเช่าเครื่อง แบตสำรอง และทำประกันไว้ด้วย ทั้งหมดก็ 1,650 บาทค่ะ 
             ตอนที่มาถึงผ่าน ตม. มาแล้ว เขาก็จะถามเล็กน้อยค่ะ ว่ามาทำอะไร มีแพลนไว้ไหมจะไปที่ไหน มีที่พักรึยัง จุดนี้สบายใจหายห่วงเลย อย่างที่บอกไว้แล้ว เราทำการบ้านมาพอสมควร  (เหรอออออ.....) แต่ก็ผ่านไปด้วยดีค่ะ อย่าเพิ่งคิดว่าจะฉลุยนะ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเพื่อที่จะซื้อตั๋วรถไฟ Metro Tokyo เท่านั้นแหล่ะค่ะ บร่ะจ้าวววว อะไรยังไงเนี่ยะ!!! สุดท้ายหาที่ซื้อไม่เจอ งงตาแตกค่ะ เลยได้ตั๋วรถไปที่พักอย่างเดียว แต่อย่าเพิ่งคิดว่าได้ตั๋วรถไฟมาแล้ว จะสบายใจเชิบลันลาได้แบบสวยงามไม่ค่ะ 
เริ่มปฏิบัติการหลงอย่างเป็นทางการ วู้ปี้!!!
       และนี่เป็นตั๋วรถไฟใบแรกของเราค่ะ ตื่นเต้นมาก ๆ ต่อจากนี้จะได้ลุยโตเกียวกันแล้วสิ 

 สวัสดีจ้า!!!! โตเกียว


**แอบบ่น ยังไม่จบนะ ก่อนที่เราจะขึ้นรถไฟ เราก็แอบเดินวน ๆ ดูว่าเรามาถูกทางรึป่าว แถมนังเพื่อนตัวป่วน ทำบัตรหายอีก 0_0 ..... ตกใจกันเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พบว่ามันอยู่ในกระเป๋าเสื้อจร้า ป่ะ ไปต่อกันดีกว่า ><

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2557

แวะฮ่องกงกันค่ะ

โจ้กฮ่องกงตอนเช้า ๆ ค่ะ
          เราเดินทางตอนทุ่มกว่าๆ ค่ะ เลือกที่จะพักเครื่องที่ฮ่องกง อยู่ที่นั่นประมาณ 5 ชั่วโมงเลย ที่เลือกแบบนี้ ก็เพราะเจ้าโจ้กฮ่องกง
นี่แหล่ะ ว้าววว.....ต้องบอกเลยว่าจัดเต็มขนาดนี้ ทานกัน 2 คนนะ
ผลคือ ทานไม่หมด แทบอยากห่อขึ้นเครื่องไปกินต่อ  >//<

สุดท้ายสิ่งที่หมดก็คือ น้ำเต้าหู้ กับปลาท่องโก๋ คริๆ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ 2 คน กับอาหารชุดใหญ่แบบนี้ ทานหมดน้ำหนักคงเกินขึ้นเครื่องไม่ได้มั้ง 5555

        เราถึงฮ่องกงตอน 5 ทุ่มกว่า สนุกสนานค่ะ มีเงินดอลล่าฮ่องกงอยู่ 500  แต่ซื้อของไม่ได้ใน 7/11 เขาบอกไม่มีถอน เอาแล้วไง หิวนะเฟ้ย จะให้ซื้อเยอะกว่านี้ก็ฉันไม่ต้องการนี่นา เลยสะบัดบ๊อบค่ะ ไปกดน้ำพุ่ง ๆ ดื่มเอาก็ได้ กริ ๆ อ่อด้วยความซุกซนของเรากับเพื่อน ก็ออกไปเดินเล่นนอกสนามบินกันมาค่ะ (อันที่จริง ถ้าใครอยากออกไปต้องเสียภาษีสนามบินประมาณ 1 พันบาทค่ะ แต่เราเนียน ๆ ออกไป คือเดินแปบ ๆ ไม่ถึง 2 ชั่วโมง) อีกเรื่องหนึ่งคือ ที่สนามบินนี่ฟรี wifi นะคะ ถ้าใครไปต่อเครื่องที่นั่น ก็เสริจหาสัญญาณของเขาได้เลยค่ะ พอเจอแล้วก็เข้าหน้า web site มันก็จะขึ้นรายละเอียดมา เราก็ agree ไปค่ะ แค่นั้นก็สามารถใช้ได้แล้ว ง่ายและสะดวกมาก ๆ สุดท้ายเราก็มางีบหลับเตรียมตัวเดินทางสู่แจแปนตอน 9 โมงค่ะ ไครแมกของเช้าวันนี้คือปฎิบัติการตามล่า โจ้กฮ่องกง!! (ไม่รู้เรียกถูก หรือเข้าใจถูกไม๊ รู้แค่ซื้อกินที่ฮ่องกง 5555) สุดท้าย เธอก็เป็นของฉัน ><

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2557

หาที่พักกันเถอะ

        ตอนที่แล้วเราค้างไว้ที่รอพาสปอร์ตมาส่ง (ค่าทำพาสปร์อตทั้งหมดอยู่ที่ 1,070 บาท) ตอนนี้พอได้ที่พักแล้ว เอาแล้วสิ คนไม่เคยไปแบบเรา อ่านภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ออก ทำยังไงดีนะ?? ก็เริ่มซื้อหนังสือมาอ่าน และหาข้อมูลตามบล็อคต่าง ๆ นี่แหล่ะ สุดท้ายเราก็เข้าเวป

 www.hostels.com ค่ะ หน้าตาแบบนี้ กรอกเมือง วันและเวลาที่เราจะไป ก็จะมีรายการห้องพักต่าง ๆ มาให้เราเลย อ้อ!! อธิบายนิดนึงค่ะ อย่างที่เกริ่นไปแต่แรก เราจะตะลุยโตเกียว ด้วยเงิน 1 แสนเยน ก็ต้องหาที่พักแบบประหยัดที่สุดค่ะ เลยเลือกแบบ Hostel  ซึ่งจะว่าไปแล้ว Hostel ก็คือหอพักรวมค่ะ ซึ่งมีแยกทั้งเฉพาะผู้หญิง เฉพาะผู้ชาย หรือพักรวม ราคาก็ต่างกันออกไปแล้วแต่ความจุของเตียง และช่วงวันเวลาเดินทาง ก็เหมือนกับการจองห้องพักตามสถานที่ท่องเที่ยวบ้านเรานี่แหล่ะ  เราจอง 2 ที่นอน (ไปกับเพื่อนผู้หญิงอีกคน) ห้องเป็น 5 เตียง (เตียง 2 ชั้น) และห้องน้ำรวม และเราเลือกที่   

"Anne Hostel Tokyo" บอกเลยว่า ประทับใจที่นี่แบบสุดๆ ไปเลย ใกล้ทั้ง JR ทั้ง Subway ทำให้เราเดินทางสะดวกมาก ๆ ราคาประหยัด สะอาด และที่สำคัญพนักงานที่นี่เป็นกันเองมากค่ะ (พูดภาษาอังกฤษได้คล่องมาก ๆ) แนะนำทุกเรื่องด้วยนะ อ้อ!! อาหารเช้าฟรี แต่เราไม่ได้กินหรอก 555 

     Anne Hostel ตั้งอยู่ย่าน asakusabashi ซึ่งไม่ไกลจากวัดเซนโซจิ (วัดอาสะกุสะ) โตเกียวทาวเวอร์ และตึกอาซาฮี (หรือที่เรียกกันว่าตึกอุนจิ) ค่ะ นั่ง subway เลยไปอีก 1 ป้าย แต่เดินก็ถึงนะ เราเดินมา 2 รอบแล้ว รอบแรกหลงค่ะ อีกรอบเดินเก็บบรรยากาศ และที่พักนี่เชื่อว่าก็ถูกใจขาช้อปไม่เบา เพราะใกล้กับ Drag store ด้วยนะ และเราก็หมดเงินกับที่นี่มากเลยทีเดียว 

   เอาละค่ะ เล่ามาสักยาว สรุปคือเลือกที่นี่ตลอดการเดินทาง 4 คืนค่ะ บอกเลยว่า ตอนจองรู้สึกกังวลและไม่มั่นใจสุด ๆ แต่เอาน่า อยากจะแบคแพค ก็ต้องลุยละจ้า ได้ที่พักแล้ว เหลือเวลาอีก 1 อาทิตย์ สำหรับการเดินทาง ถามว่าพร้อมไหม?? ไม่ค่ะ!!! >< 


โตเกียว เมืองในฝัน

เที่ยวแจแปนกับเงิน 1 แสนเยน!!



           เตรียมตัวกันไม่ถึงเดือน การเดินทางแบบไม่รู้ภาษาก็เริ่มขึ้น อีกหนึ่งดินแดนในฝันที่หลาย ๆ คนอยากมาเยือน บอกกันตรงนี้เลย เป็นการเดินทางที่ตื่นเต้นมาก

          เริ่มแรกเราหาตั๋วราคาถูกกันก่อนเลยค่ะ การเดินทางครั้งนี้ได้ใช้บริการกับ Cathey Pacific สายการบินของฮ่องกงในราคาที่รับได้เลยค่ะ ไม่ถึง 2 หมื่น (ไป - กลับ) สุดท้ายเราก็ได้ตั๋วเครื่องบินมาครอบครอง แล้วยังไง? พาสปอร์ตก็หมด

แว๊กกกก!!!  งานเข้าแล้วค่ะ อยู่ในช่วงที่เหตุการณ์บ้านเมืองไม่ปกติ เลยต้องรีบเช็คเวป แล้วบึ่งไปทำพาสปอร์ต เราเลือกทำที่ เซ็นทรัลบางนาค่ะ ออกจากบ้าน ตี 4 ไม่พูดถึงเวลาตื่นแล้วกันนะ ถึงที่นั่นก็คิดว่า อืม ฉันมาเช้าแล้วนะ เปล้า
าาา!!!!
(เสียงสูง!!) คิวแน่นเอี๊ยดดดด คร้าาา เราได้มาคิวที่ 200 กว่า อย่าคิดว่าจบอยู่แค่นั้นนะ ต้องรับคิวอีก 2 คิว ว่ากันง่าย ๆ ก็คือ คิวแรกที่ได้คือคิวขึ้นลิฟท์ค่ะ คิวต่อมาคือคิวที่แจกสำหรับรับบัตรคิวอีกครั้งในการเข้าไปทำพาสปอร์ต และคิวสุดท้าย นั่นค่อยดีใจ มันคือ...คิวที่เราจะได้ทำค่ะ

       
เห็นการเข้าคิวยาววววว แล้วใจมันท้อนะ แต่ที่ไหนได้ เร็วกว่าที่คิดค่ะ ประมาณ 3 ชั่วโมง รวมต่อคิวทั้งหมด เราก็จัดการเรียบร้อย รออีก 7 วัน พาสปอร์ตจะมาส่งที่บ้าน

เดี๋ยวค่อยมาต่อกันนะ >< เชื่อว่าต้องเป็นทริปในฝันของทุกคนเลยแหล่ะ